จุดไฟขัดแย้งศาสนา!?! อัยย์:(อดีต)ศิษย์ธรรมกาย!!! ในคราบองค์กรป้องพุทธฯ???

0

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีประเด็นเรื่องศาสนาออกมาให้กล่าวถึงกัน ซึ่งเรื่องนี้ดูแล้วไม่อาจมองเจตนาเป็นอื่นนอกจากนี่คือ งานกที่หยิบเอาความละเอียดมาเคลื่อนไหว โดยพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลบิ๊กตู่??? ซึ่งก่อนนี้ก็มีปรากฏอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปฏิบัติการไล่ธัมมชโย!?! ทั้งวันนี้ที่คดีที่เกี่ยวเนื่องกับวัดพระธรรมกายกำลังขยับ ก็ยิ่งมีการเคลื่อนไหวที่หนักหน่วงตามมา!?!

 

อยากจะให้เริ่มกันที่เหตุการณ์เมื่อวันที่  31 ต.ค.62 ที่มีรายงานข่าวแจ้งว่า สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ไม่สั่งฟ้องคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งสำนวนการไต่สวนคดีที่นายอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง พัวพันคดียกยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ในความผิดการฟอกเงินจากการขายที่ดิน

 

คดีดังกล่าวสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พบความผิดปกติกรณีที่ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ในคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ในส่วนของที่ดินที่โอนขายให้กับ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์

 

และนายอนันต์ ซึ่งนายศุภชัย นำเงินไปลงทุนซื้อที่ดินจำนวน 3 แปลง โฉนดที่ดินเลขที่ 31343 ,31344 และ 31345 ตั้งอยู่ตำบลคลองสอง (คลอง 2 ตก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่รวม 312 ไร่ 1 งาน 17.6 ตารางวา และหุ้นของบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด โดยวิธีการสั่งจ่ายเช็คจำนวน 11 ฉบับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 321,400,000 บาท

 

โดยในส่วนคดีของ นายอนันต์ ทางปปง.ระบุในคำสั่งอายัดทรัพย์ ว่า ภายหลังจากบริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด ได้รับเงินลงทุนของนายศุภชัย กับพวกแล้ว บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน โฉนดเลขที่ 31344 ให้กับนายอนันต์ ที่ดินเนื้อที่ 46-3-56.2 ไร่ ราคาไร่ละ 2,000,000 บาท เป็นเงิน 93,781,000 บาท

 

จากนั้นมีการจัดทำหนังสือแสดงเจตนาถวายที่ดินของนายศุภชัย ให้กับพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) โดยนายอนันต์ ลงลายมือชื่อ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินแทนพระเทพญาณมหามุนี และมีพยานลงลายมือชื่อในหนังสือดังกล่าว

 

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2558 นายอนันต์ ได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่บริษัทไทย แอ็กโกร เอ็กซเชนจ์ จำกัด ในราคา 492,350,250 บาท และได้รับเงินที่เหลือจากการขายที่ดิน จำนวน 468,731,250 บาท นำไปชำระหนี้ให้บริษัท เอ็ม-โฮม เอสพีวี 2 จำกัด และหนี้อื่นบางส่วน โดยนำเงินส่วนใหญ่จำนวน 303,000,000 บาท ไปบริจาคให้มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เพื่อนำไปก่อสร้างอาคาร บุญรักษา

 

สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 60 คณะกรรมการพิจารณาคดีของดีเอสไอ มีมติให้แจ้งดำเนินคดีกับนายอนันต์ ฐานสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน และได้แยกการสอบสวนเป็นอีกคดีหนึ่ง ตามคดีพิเศษที่ 10/2560 และพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการได้มีมติร่วมกันให้เรียกตัวนายอนันต์ มารับทราบข้อกล่าวหาที่ดีเอสไอในช่วงต้นเดือน มิ.ย. 2560

 

5 มิ.ย. 2560 นายอนันต์ พร้อมทนายได้เข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เพื่อรับทราบข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ที่ได้มาจากการยักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ซึ่งนายอนันต์ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยืนยันว่าไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยกับนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นฯ

 

9 พ.ค. คณะกรรมการธุรกรรม สำนักงานปปง. มีมติให้อายัดที่ดินจำนวน 8 แปลง ซึ่งตั้งอยู่ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ของ นางสาวอลิสา อัศวโภคิน ที่ครอบครองแทน นายอนันต์ อัศวโภคิน ไว้ชั่วคราว มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน รวมราคาที่ดินจำนวน 8 แปลง ที่มีการซื้อขายเมื่อปี 2556 จำนวน 298 ล้านบาท

 

28 พ.ย.62 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด กลุ่มผู้เสียหายคดีทุจริตยักยอกฉ้อโกงและฟอกเงินในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นจำกัด นำโดยนายแก้วสรร อติโพธิ ในฐานะทีมกฎหมายและญาติผู้เสียหาย ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการอัยการ เรียกร้องความยุติธรรม หลังอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ ที่ผู้เสียหายอ้างว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดินเพื่อนำเงินเข้ามูลนิธิวัดธรรมกาย จำนวน 321 ล้านบาท

 

โดยเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่มาจากบัญชีนายอนันต์ที่ อ้างว่าขายที่ดินได้ 1 แปลง จึงแบ่งมาถวายทำบุญ แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอสอบสวนพบว่าที่ดินแปลงนี้แท้จริงเป็นของนายศุภชัย ลูกศิษย์วัดธรรมกาย ใช้เงินที่ยักยอกจากสหกรณ์จำนวน 321 ล้านบาท มาซื้อบริษัทเอ็มโฮม เพื่อจะนำที่ดินของบริษัท 3 แปลงไปขายค้ากำไร

 

แต่เพื่อซ่อนเร้นจึงต้องฟอกชื่อ เอ็มโฮม ไม่ให้ปรากฏ จึงทำสัญญาปลอมให้เอ็มโฮมขายที่ดินให้นายอนันต์โดยไม่มีการชำระเงินค่าที่ดิน จากนั้นจึงใช้ชื่อนายอนันต์ขายที่ดินอีกครั้งในจำนวนเงิน 421 ล้านบาท แล้วใช้ชื่อนายอนันต์แบ่งถวายให้วัดธรรมกาย 301 ล้านบาท

 

พฤติกรรมข้างต้นดีเอสไอสรุปสำนวนว่าเป็นการฟอกเงิน 3 ครั้ง จนกลายเป็นถวายวัดทำบุญ แต่พอทำสำนวนสมบูรณ์ส่งอัยการแล้ว อัยการสั่งไม่ฟ้องโดยให้เหตุผลว่าหลักฐานการกระทำของนายอนันต์ไม่เพียงพอให้ฟังได้ว่าร่วมฟอกเงินกับนายศุภชัย

 

29 พ.ย. 62 ทาง DSI โดยคณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ออกแถลงทางคดีที่มีความเห็นควรสั่งฟ้อง และส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการ ต่อมาพนักงานอัยการได้มีหนังสือ ลงวันที่ 30 กันยายน 2562 ส่งสำนวนการสอบสวนกลับมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้พิจารณาตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 34 ว่าจะมีความเห็นแย้งในคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการหรือไม่

 

ล่าสุด อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้พิจารณาข้อเท็จจริง มีความเห็นแตกต่างจากพนักงานอัยการโดยเห็นว่าข้อเท็จจริงยังฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กระทำความผิดตามที่ได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องไปแล้ว จึงได้มีความเห็นแย้งความเห็นของพนักงานอัยการให้ฟ้องนายอนันต์ฯ ตามข้อกล่าวหาส่งพนักงานอัยการแล้ว ทั้งนี้ อยู่ที่อัยการสูงสุดจะพิจารณาว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง อันเป็นความเห็นชี้ขาดตามกฎหมาย

 

นั่นคือความคืบหน้าล่าสุดของคดีการฟอกเงินซึ่งเกี่ยวพันมาถึงวัดพระธรรมกาย และด้วยคดีที่ว่านี้ที่เชื่อมโยงมาจากการทุจริตเงินสหกรณ์ฯของนายศุภชัย ที่ส่งผลมายังพระธัมมชโย กระทั่งปัจจุบันที่ยังไม่รู้ว่าหลบหนีอยู่ที่ไหน รวมทั้งการเข้าไปจัดการภายในวัดของฝ่ายรัฐ จากนั้นเองที่มีความเคลื่อนไหวในเรื่องศาสนาตลอดมาโดยมุ่งไปที่การสร้างความขัดแย้งระหว่างศาสนา???

 

6 พ.ย.62 นายอำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยกรณีมีการเผยแพร่แถลงการณ์องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ (อปพส.)ในโซเชียลมีเดีย ที่เรียกร้องให้สพฐ. ทบทวน และยกเลิกการนำวิชาอิสลามศึกษา เข้ามาบรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนของทุกโรงเรียนในสังกัด

 

คุณหญิงกัลยา ประสานไปยังการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)  เพื่อตรวจสอบผู้นำข้อมูล ที่บิดเบือนไปเผยแพร่ ทั้งนี้ สพฐ.ยืนยันว่ามีหน้าที่จัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ ที่มีการบิดเบือน

 

“สพฐ.มีหลักสูตรในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเฉพาะอยู่แล้ว ส่วนหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรอิสลามศึกษา เป็นหลักสูตรที่จัดขึ้นกับนักเรียนที่นับถือศาสนาอิสลามโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวข้องกับ นักเรียนในศาสนาพุทธ จัดเฉพาะเด็กมุสลิมเท่านั้น

 

ข่าวที่ออกมาเป็นการบิดเบือนข้อมูล เฟคนิวส์ เป็นการกระพือข่าว หลังจากมีปรากฏแถลงการณ์ขององค์กร อปพส. เพื่อสันติภาพออกมา เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2562

 

ในรายละเอียดระบุว่า  นายอัยย์ เพชรทอง เลขาธิการ องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ(อปพส.) ออกแถลงการณ์ อปพส.ฉบับที่ 1 จากกรณีที่มีความเคลื่อนไหวของพี่น้องชาวพุทธจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนในโลกโซเชี่ยลและมีทีท่าจะลุกลามบานปลายออกไป ไม่มีทีท่าจะจบลงอย่างง่ายๆ สาเหตุ ของความเคลื่อนไหวในครั้งนี้มาจาก

 

1.การที่ สพฐ.(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ออกหนังสือเวียนไปยังสำนักงานเขตการศึกษา ซึ่งสื่อว่าจะเริ่มมีการนำวิชา”อิสลามศึกษา” เข้ามาเรียนและสอนในโรงเรียนในสังกัด

 

2.คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช รมช.ศึกษาฯของพรรคประชาธิปัตย์ ได้แต่งตั้งคณะทำงานประกอบด้วยมุสลิมจำนวน 6 คนจาก 11 คน

 

จึงได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ออกมาเพื่อแสดงจุดยืนขององค์กรว่า 1.ขอให้ สพฐ. ได้ทบทวนและยกเลิก การนำ วิชาอิสลามศึกษาเข้ามาบรรจุในหลักสูตรการเรียนการสอนของทุกโรงเรียนในสังกัดในทันที

 

2.ขอให้คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช รมช.ศึกษาธิการ ได้ทบทวนและยกเลิกคณะทำงานที่เป็นมุสลิมจำนวนมากออกไปและจัดสัดส่วนให้เหมาะสมในทันที

 

3.อปพส.ขอสนับสนุนและให้กำลังใจทุกองค์กรชาวพุทธหรือส่วนบุคคลในการเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านทั้ง 2 กรณีนี้อย่างสันติวิธี ทั้งทางโลกโซเชี่ยลและการยื่นหนังสือและการเข้าพบผู้ที่รับผิดชอบ

 

อปพส.ได้ตระหนักถึงภาระรับผิดชอบที่จะปกป้องพระพุทธศาสนาไม่ให้ใครมาทำลาย ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ดังนั้น อปพส. จึงต้องแสดงจุดยืนที่จะต่อต้านการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาในทุกรูปแบบและพร้อมจะประสานความร่วมมือกับองค์กรพุทธทุกๆ องค์กรทั้งในและต่างประเทศ

 

ขณะที่ทีมงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ยื่นหนังสือถึง พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ขอความร่วมมือตรวจสอบและระงับข่าวปลอมเรื่องการบังคับใช้หลักสูตรอิสลามในโรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด และกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

 

นายกันติพจน์ สิริภักดิสกุล ที่ปรึกษาและเลขานุการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการ ยุยงปลุกปั่นให้คนที่นับถือศาสนาพุทธมาร่วมลงชื่อคัดค้าน ซึ่งสิ่งที่กระทำนี้ถือว่าเข้าข่ายมีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 สร้างความแตกแยกระหว่างสองศาสนา

 

สำหรับเครือข่ายของชาวพุทธ มีการแยกออกเป็นกลุ่มย่อย ทั้งสายหนุนพระผู้ใหญ่ที่เคยกุมอำนาจในมหาเถรสมาคม สายหนุนธรรมกายและสายที่ใช้ฐานชาวพุทธเพื่อเข้าสู่แวดวงการเมือง เช่น กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน องค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ(อพช.) องค์กรพลังชาวพุทธ สมาคมสื่อมวลชนพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยแห่งชาติ(สพวช.) สมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย

 

ไม่เพียงเท่านั้นต่อมาก็เกิดประเด็นมีผู้เผยแพร่คลิปในสื่อสังคมออนไลน์ โดยอ้างตั้งข้อสงสัยว่าทำไมผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ต้องกู้ยืมผ่านธนาคารอิสลาม ทำไมไม่กู้ผ่านธนาคารออมสิน และหากยอมเปลี่ยนศาสนา กยศ.จะยกหนี้ให้ จริงหรือไม่นั้น

 

ทำให้นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. ต้องชี้แจงว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะ กยศ.เป็นหน่วยงานของรัฐ ในการกำกับดูแลของรัฐกระทรวงการคลัง ซึ่งได้ว่าจ้างธนาคารกรุงไทย และ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่บริหารจัดการเงินให้กู้ยืม

 

โดยผู้กู้ยืมสามารถเลือกใช้บริการจากธนาคารกรุงไทย หรือธนาคารอิสลามก็ได้ ไม่ได้มีการบังคับ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้กู้ยืม ซึ่งจากจำนวนผู้กู้ยืมประมาณ 5.7 ล้านคน ใช้บริการผ่านธนาคารกรุงไทย 97 % และผ่านธนาคารอิสลาม 3 %

 

ส่วนกรณีที่ว่า ถ้ามีการเปลี่ยนศาสนาจะได้รับการยกหนี้ให้นั้น กยศ. ยืนยันว่าไม่มีข้อกำหนดเช่นนั้น และเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสน

 

26 พ.ย. 62  นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย กรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ออกมาชี้แจงย้ำถึงข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากปัจจุบันธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เป็นหนึ่งในสองของผู้บริหารจัดการเงินให้กู้ยืมจาก กยศ.

 

ทั้งนี้เพื่ออำนวยให้นักเรียนนักศึกษาที่นับถือศาสนาอิสลาม ได้มีทางเลือกในการใช้บริการทางการเงินอย่างถูกต้องตามหลักการที่ศาสนาบัญญัติไว้ ก็ไม่ได้เป็นภาคบังคับแต่อย่างใด และเป็นไปตามความประสงค์ของผู้กู้ ประกอบกับธนาคารไม่ได้เป็นผู้ให้กู้โดยตรง แต่เป็นเพียงช่องทางในการติดต่อรับจ่ายเงินจากทาง กยศ. ธนาคารจึงไม่ได้มีส่วนได้เสียในการให้เงินกู้ดังกล่าว

 

ในกระบวนการขอกู้ยืมก็ไม่ได้มีเอกสารหรือข้อความใด ที่ระบุว่าจะได้รับการยกหนี้เมื่อมีการเปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาอิสลาม ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น

 

“การเชิญชวนผู้ใช้บริการในการเปลี่ยนศาสนา ข้อความดังกล่าว จึงสร้างความสับสนและความเข้าใจผิดและเกิดความสับสนในบทบาทของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารจึงขอเรียนมาให้ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน” นายวุฒิชัย กล่าว

 

นั่นคือประเด็นที่กลายมาเป็นจุดที่สังคมต้องตั้งคำถามและช่วยกันจับตา เพราะแน่นอนว่าเป็นการจุดไฟของความขัดแย้งระหว่างศาสนา เป็นการทำให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของสองศาสนา!!! ซึ่งสำหรับการเคลื่อนไหวของนายอัยย์ ก่อนหน้านี้ที่น่าสนใจมีดังนี้

 

5 ส.ค. 61 นายอัยย์ พร้อมคณะ เดินทางมายื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน  ผ่านนายปิยะ ลือเดชกุล ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบเรื่องร้องเรียน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ตรวจสอบการกระทำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะรัฐมนตรี ในการถวายสัตย์ปฎิญาณไม่ครบถ้วน

 

3 ส.ค.62 นายอัยย์ นำสมาชิกกลุ่มยื่นหนังสือถึงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยมีนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทยเป็นผู้รับหนังสือ เห็นว่าการกระทำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีกระทำที่ละเมิดมาตรา 161

 

26 พ.ย.62 เว็บไซต์เบนาร์นิวส์ รายงานข้อมูลข่าวเผยแพร่ผ่านเวปโดยระบุว่า นายสมศักดิ์ จังตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น กล่าวกับ เบนาร์นิวส์ว่า ยังไม่มีการขออนุญาตจดทะเบียนจัดตั้งมัสยิดในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

 

เนื่องจากไม่ผ่านประชามติของคนพื้นที่ ท่ามกลางการประท้วงของกลุ่มบุคคลในนาม องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ ที่เกรงว่า มัสยิดจะถูกใช้เป็นที่แพร่เชื้อร้ายของมุสลิมหัวรุนแรงจากตะวันออกกลาง และมุสลิมมลายูจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

 

โดยนายอัยย์ กล่าวกรณีเดียวกันว่า ทางกลุ่มออกมาเคลื่อนไหวเพราะต้องการต่อต้านลัทธิอิสลามจากตะวันออกกลาง และอิสลามสายมลายูที่ไม่ได้มองไทยเป็นประเทศแม่ แต่ตนเองยอมรับมุสลิมที่รักสันติโดยแท้จริง

 

“ทาง อปพส. ต่อต้านลัทธิอิสลามจากตะวันออกกลาง เพราะพวกนี้มองคนไทยว่าเป็นคนอื่น แล้วก็รวมทั้งอิสลามสายมลายูที่ไม่ได้มองไทยเป็นประเทศแม่ แต่มองไทยเป็นผุ้รุกรานรัฐปัตตานี แล้วปลูกฝังเยาวชนผ่านปอเนาะ อยากเปลี่ยนไทยให้เป็นรัฐอิสลาม อยากจะแยกประเทศ” นายอัยย์ กล่าวกับเบนาร์นิวส์

(https://www.benarnews.org/thai/news/TH-mosque-registration-11262019153210.html)

 

หากย้อนไปก่อนหน้านี้ของการเคลื่อนไหวของอัยย์พบว่า 5 สิงหาคม 2562 สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ออกเอกสารชี้แจงว่า ตามที่มีการแชร์ข้อมูลในสื่อโซเชียล ว่า “องค์กร อปพส. เตรียมร้องทุกข์กล่าวโทษ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ลงนามโดยผู้ใช้ชื่อว่า “อัยย์ เพชรทอง 5 สิงหาคม 2562” โดยอาจทำให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของศิษย์วัดพระธรรมกาย

 

วัดพรธรรมกาย ขอชี้แจงว่า วัดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลและองค์กร อปพส. ทั้งนี้การดำเนินการใดๆที่ผ่านมา หรือการดำเนินการต่อไปของนายอัยย์ และองค์กร อปพส.ไม่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย ไม่ใช่ตัวแทนวัด และไม่ใช่ตัวแทนศิษย์แต่อย่างใด รวมทั้งทางวัดไม่ได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือการแสดงทัศนคติด้านอื่นๆทุกประการ

 

2 ต.ค.61 สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย เคยออกประกาศตามที่สื่อมวลชนบางสำนักเสนอข่าว “สงฆ์ภาคเหนือ ‘ไม่แคร์’ มหาเถรสมาคม เปิดวัดรับ ‘คณะอัยย์ เพชรทอง’ จัดเสวนาปกป้องพระพุทธศาสนา” โดยผู้เขียนยังเข้าใจว่าเป็นการกระทำของศิษย์วัดพระธรรมกาย

 

วัดพระธรรมกาย ขอชี้แจงว่า วัดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลและกลุ่มบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ ผู้ที่ปรากฏในข่าวไปในนามส่วนตัว เป็นการแสดงทัศนะส่วนบุคคล การดำเนินการใดๆ ที่ผ่านมา หรือที่จะดำเนินการต่อไปของ นายอัยย์ เพชรทอง และนายวุฒิสาร พนารี ไม่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย

 

ไม่ใช่ตัวแทนวัด และไม่ใช่ตัวแทนศิษย์แต่อย่างใด รวมทั้งทางวัดไม่ได้สนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือการแสดงทัศนคติด้านอื่นๆทุกประการ

จึงแจ้งมาเพื่อทราบและโปรดเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สาธารณชนด้วยจักขอบคุณยิ่ง

 

28 ต.ค. 61 ที่สถานีตำรวจภูธรคลองหลวง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นายอัยย์ เพชรทอง ตัวแทนคณะศิษยานุศิษย์วัดธรรมกายกลุ่มหนึ่ง และนายวุฒิสาร พนารี นายกสมาคมสื่อมวลชนพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยแห่งชาติ (สพวช.) และนางสาวศศินภา นิติธรรมปพน ตัวแทนกลุ่มชาวพุทธศิษย์วัดพระธรรมกาย

 

ทั้งหมดได้ตั้งแถลงข่าวการเสียชีวิตของนางสาวอารีพันธ์ ตรีอนุสรณ์ พยานคนสำคัญที่รู้เห็นเกี่ยวกับการถูกวางยาพิษของพระเถระซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของวัดพระธรรมกาย เนื่องจาก นางสาวอารีพันธ์ ซึ่งเป็นพยานคนสำคัญของนายอัยย์ เพชรทอง ผู้ยื่นเรื่องไม่ไว้วางใจพระเถระที่เป็นคณะกรรมการบริหารวัดพระรรมกาย ในเหตุสำคัญ ๆ หลายประการ หนึ่งในนั้นคือประเด็นการลอบวางยาพาปลิดชีพพระเถระผู้เป็นบุคคลสำคัญของวัดพระรรมกาย

 

และเกี่ยวพันถึงองค์กรดีเอสไอ ที่นางสาวอารีพันธ์ จะต้องไปให้ปากคำ เรื่องการก่อสร้างอาคาร 100 ปี ภายในวัดพระรรมกาย ในวันนี้ 19 ตุลาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่เสียชีวิตนั้นเอง ทางกลุ่มชาวพุทธศิษย์วัดพระธรรมกาย มีความไม่สบายใจและสงสัยจึงอยากให้มีการตรวจพิสูจน์อีกครั้ง

 

นายอัยย์ กล่าวว่า เราสงสัยว่า นางสาวอารีพันธ์ ที่เสียชีวิตจะเป็นการตายที่ผิดธรรมชาติ เพื่อให้มีการพิสูจน์ศพอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งนางสาวอารีพันธ์ เป็นบุคคลที่ตนเองต้องการให้มาเป็นพยานคดี ที่ตนเองตั้งอธิกรเรื่องคดีวางยาพิษฆ่าหลวงพ่อธัมมชโย แต่เธอมาตายอย่างกะทันหัน

 

ในวันที่ DSI เรียกตัวไปสอบเรื่องการก่อสร้างอาคาร 100 ปี ภายในวัดพระรรมกาย เราได้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในวัดพระธรรมกาย ที่ตรวจสอบไม่ได้ มีอิทธิพล จึงได้ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อล้างวัดให้สะอาด ทวงวัดคืนให้สาธุชน ทวงความยุติธรรมให้กับศาสนาพุทธและถวายเป็นพุทธบูชา

(https://www.innnews.co.th/regional-news/news_227080/)

 

นั่นคือการเคลื่อนไหวของอัยย์ ที่ถือเป็นลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย แต่ต่อมาได้เกิดปัญหาขึ้นภายในจึงมีแตกออกเป็นสองขั้ว โดยอัยย์และลูกศิษย์อยู่กลุ่มหนึ่งกับอีกขั้ว ซึ่งว่ากันว่าอยู่ในนามสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ที่ได้ออกมาปฏิเสธการการกระทำใดๆของอัยย์และพวกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย!!

 

ทั้งนี้ในการเคลื่อนไหวของอัยย์ดำเนินท่ามกลางการถูกตั้งข้อสังเกตเพราะมีความอ่อนไหวละเอียดอ่อน แม้จะอ้างว่าเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนา แต่ขณะเดียวกันก็สุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง ในขณะก็มีการปล่อยข่าวเท็จข่าวปลอมอยู่ตลอดเวลาโดยพุ่งเป้าในเรื่องของสองศาสนาที่อันตรายอย่างยิ่งต่อสังคมไทย!!!