คนดีผลงานปัง!! อาคมได้รับยกย่อง รมว.คลังแห่งปี-เอเปค ปลื้มเก็บรายได้ ๓ ด.ทะลุ ๖.๓ แสนล้าน ยันศก.ไทยแกร่ง

0

คลังฟุ้งเก็บรายได้ 3 เดือนแรกปีงบ 66 ทะลุ 6.3 แสนล้านบาท เกินเป้า 7.3 หมื่นล้านบาท ชี้เศรษฐกิจขยายตัว เก็บภาษีนิติบุคคล-ภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้เพิ่มขึ้น พร้อมรับรายได้พิเศษจากการประมูลคลื่นความถี่ เศรษฐกิจส่งสัญญาณบวก เตรียมปรับขยายตัวเป็น 3.5 – 4% และข่าวที่น่ายินดีอีกครั้งคือ “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รมว.คลังของไทย ได้รับรางวัล Finance Minister of the Year 2023 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากนิตยสาร “The Banker” ยกย่องการบริหารงานด้านเศรษฐกิจ-พลิกฟื้นประเทศไทย

วันที่ 23 ม.ค.2566 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)​ เปิดเผยว่านายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับการคัดเลือกให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแห่งปี 2566 (Finance Minister of the Year 2023) ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากนิตยสาร The Banker ในเครือ Financial Times ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ด้านเศรษฐกิจและการเงินชั้นนำที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสากล

โดยนิตยสาร The Banker ได้กล่าวยกย่องการบริหารงานด้านเศรษฐกิจของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเฉพาะการดำเนินมาตรการเศรษฐกิจแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ

อาทิ มาตรการคนละครึ่ง เป็นต้น รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Economy) ผ่านมาตรการทางภาษีต่าง ๆ โดยภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เศรษฐกิจไทยได้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวกับนิตยสาร The Banker โดยแสดงความขอบคุณที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแห่งปี 2566 พร้อมทั้งได้กล่าวถึงการดำเนินนโยบายการคลังของไทยผ่านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและระบบการชำระเงินของประเทศที่มีความก้าวหน้าอย่างมาก ทำให้มาตรการเยียวยาสามารถเข้าถึงได้ง่ายและเข้าถึงเป้าหมายกลุ่มเปราะบางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งจากการรักษาวินัยทางการคลังในระยะที่ผ่านมา ทำให้กระทรวงการคลังไทยสามารถใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการเยียวยาที่หลากหลาย โดยยังสามารถบริหารจัดการหนี้สาธารณะได้อย่างดีและปฏิบัติตามกฎหมายด้านวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด

ด้านการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.-ธ.ค.65) รวม 633,139 ล้านบาท  สูงกว่าการประมาณการตามเอกสารงบประมาณกว่า 73,586 ล้านบาท หรือ 13.2%  และช่วงกว่าสูงเดียวกันของปีก่อน 13.3%

โดยหน่วยงานจัดเก็บรายได้หลัก คือ กรมสรรพากร จัดเก็บ  446,721 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 35,004 ล้านบาท และสูงกว่าเป้าเอกสารประมาณการ 40,777 ล้านบาท  กรมศุลกากรจัดเก็บได้  37,578  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน  11,272 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเอกสารงบประมาณ 10,678 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีรายได้พิเศษ ที่มาจากการประมูลคลื่นความถี่มือถือและวิทยุโทศน์ ที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)​นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ  ,การนำส่งเงินรายได้ของกองทุนหมุนเวียนที่มีผลประกอบการมีกำไร , การจัดเก็บรายได้จากภาษีนิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้เพิ่มขึ้น เป็นผลเศรษฐกิจขยายตัว ,มีการชำระอากรขาเข้าย้อนหลังตามคำพิพากษาคดี , การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตที่ต่ำกว่าประมาณการ ซึ่งทำได้ 117,147 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 17,637 ล้านบาท  ลดลงจากเอกสารประมาณการ 20,604 ล้านบาท  เป็นผลจากการมาตรการลดการจัดเก็บภาษีน้ำมันดีเซล เพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชนเป็นการชั่วคราว เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะมีรายได้นำส่งคลัง 2.6 ล้านล้านบาท ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 3.1 ล้านล้านบาท และมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 6.95 แสนล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2566 มีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 7.1 แสนล้านบาท เป็นระดับที่เพียงพอต่อการใช้จ่ายที่จำเป็นของภาครัฐ ภาพรวมฐานะการคลังในปีงบประมาณ 2566 มีความมั่นคงและเข้มแข็ง

เศรษฐกิจไทยยังมีสัญญาณเป็นไปในทิศทางทางบวก โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เตรียมทบทวนประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยทั้งปี อาจจะขยายตัวได้ถึง 3.5% – 4% ตามแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอีกด้วย