ตามคำเชิญของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงแห่งจีน เฟอร์ดินานด์ โรมูอัลเดซ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ได้เยือนจีนเป็นเวลา ๓ วัน เป็นการเยือนจีนครั้งแรกของมาร์กอสในฐานะประธานาธิบดี และเป็นการเยือนประเทศนอกอาเซียนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเขา นอกจากนี้ มาร์กอสจะเป็นประมุขต่างประเทศคนแรกที่จีนเป็นเจ้าภาพเชิญในปี ๒๕๖๖ จะเห็นได้ว่าทั้งจีนและฟิลิปปินส์ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทวิภาคีเป็นอย่างมาก ความตึงเครียดระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ ซึ่งก่อตัวขึ้นโดยการปลุกปั่นของตะวันตก ได้พังทลายลงด้วยตัวของมันเอง การโฆษณาชวนเชื่อเกินจริงโดยไม่มีพื้นฐานข้อเท็จจริงไม่สามารถหยั่งรากลึกได้ในที่สุด
ความคิดเห็นของสหรัฐฯ และตะวันตกยังคงจับตามองการเยือนของมาร์กอส แต่เห็นได้ชัดว่ามีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างความสนใจของพวกเขากับฟิลิปปินส์ ตะวันตกส่งเสียงดังโดยเน้นไปที่ข้อพิพาททะเลจีนใต้ ซึ่งมาร์กอสหวังที่จะลดบทบาทความก้าวร้าวลง แม้จะสั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์จากสหรัฐ แต่ไม่ได้ตัดสัมพันธ์จีนทางด้านเศรษฐกิจการค้าแต่อย่างใด ทำให้สหรัฐฯออกอาการมึนไม่น้อย ฟิลิปปินส์ก็ไม่เข้าร่วมเกมคว่ำบาตรจีนหรือประณามรัสเซียด้วย
วันที่ ๘ ม.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวโกลบัลไทม์และซีจีทีเอ็น รายงานว่าประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ของฟิลิปปินส์ เดินทางถึงกรุงปักกิ่งเมื่อวันอังคารที่ ๓ มกราคม เพื่อเยือนจีนเป็นเวลา ๓ วัน นี่เป็นการเยือนจีนครั้งแรกของประธานาธิบดีมาร์กอสนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปีที่แล้ว ในระหว่างการเยือน ประธานาธิบดีมาร์กอสจะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ตลอดจนนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง และประธานหลี่ ซานซู่ จากคณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC)
ในการแถลงข่าว หวัง เวียนบิน โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศจีน Wang Wenbin ระบุว่า จีนหวังว่าการเยือนครั้งนี้จะ “นำเข้าสู่ ‘ยุคทอง’ ใหม่ในด้านมิตรภาพทวิภาคี”
ประธานาธิบดีมาร์กอสยังระบุถึงความตั้งใจที่จะหยิบยกประเด็นข้อพิพาทดินแดนในทะเลจีนใต้ “เพื่อพยายามยุติปัญหาในลักษณะที่เป็นมิตรและพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ โดยไม่ต้องการอำนาจภายนอกแทรกแซง”
มีรายงานว่าทั้งสองฝ่ายยังได้ลงนามในข้อตกลงทวิภาคี ๑๔ ฉบับเมื่อวันพุธที่ ๔ มกราคมที่ผ่านมา ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลากหลาย รวมถึงการเกษตรและการท่องเที่ยว
การเยือนจีนโดยรัฐของประธานาธิบดีมาร์กอสถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ ความสัมพันธ์ที่ถูกทำลายด้วยข้อพิพาทด้านดินแดนในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา
จีนและฟิลิปปินส์สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2518 ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศนั้น “อบอุ่นและจริงใจเป็นส่วนใหญ่” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทศวรรษแรกของความสัมพันธ์มีการลงนามในข้อตกลงและสนธิสัญญาทวิภาคีหลายฉบับ ซึ่งรวมถึงการลงทุนทวิภาคี (BIT) ในปี ๒๕๓๕ และข้อตกลงการเก็บภาษีซ้อน (DTA) ในปี ๒๕๔๒
อย่างไรก็ตาม ข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดนในทะเลจีนใต้ ซึ่งรวมถึงอธิปไตยของหมู่เกาะสแปรตลีที่มีข้อพิพาทได้รบกวนความสัมพันธ์ทวิภาคีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จุดวาบไฟที่สำคัญสำหรับข้อพิพาทนี้คือกระบวนการอนุญาโตตุลาการที่ฟิลิปปินส์เสนอต่อองค์การสหประชาชาติ (UN) เกี่ยวกับการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนของจีนในทะเลจีนใต้ คณะอนุญาโตตุลาการในกรุงเฮกได้ตัดสินให้ฟิลิปปินส์เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องหลายข้อในปี ๒๕๕๙ แม้ว่าจีนจะปฏิเสธคำตัดสินนี้ก็ตาม
จีนและฟิลิปปินส์ได้พยายาม แก้ไขปัญหาเหล่า นี้หลายครั้ง สิ่งเหล่านี้รวมถึงข้อตกลงสำหรับ “ระงับข้อพิพาทและดำเนินการเพื่อการพัฒนาร่วมกัน” ระหว่างการเยือนฟิลิปปินส์โดยประธานาธิบดีจีนในขณะนั้น เจียง เจ๋อหมิน ในปี ๒๕๓๙ แถลงการณ์ร่วมที่ลงนามระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ในปี ๒๕๔๓ พยายามที่จะ “จัดตั้ง ความสัมพันธ์ระยะยาวและมั่นคงบนพื้นฐานของความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ความร่วมมือ ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์” และการออแถลงการณ์ร่วม “ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินการขั้นต่อไปเพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์และร่วมมือเพื่อสันติภาพและการพัฒนาระหว่างกัน ทั้งสองประเทศ” ระหว่างการเยือนฟิลิปปินส์ของอดีตประธานาธิบดีหู จิ่นเทาของจีนในปี ๒๕๕๐
ข้อพิพาทเรื่องดินแดนในทะเลจีนใต้ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและฟิลิปปินส์ก็แข็งแกร่งขึ้นมากในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อดีตประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เตของฟิลิปปินส์ดำรงตำแหน่ง การเยือนจีนโดยรัฐของอดีตประธานาธิบดีในปี ๒๕๕๙ นำไปสู่การให้คำมั่นสัญญาด้านการลงทุนและวงเงินสินเชื่อซึ่งมีมูลค่าประมาณ2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในข้อตกลงทางธุรกิจและการค้า