กรรมไล่ล่า!! เมกาดำดิ่ง กราดยิงทั้งปี ๕๑ ครั้ง สังหารตำรวจวันละ ๓ ราย ๖ ขวบยิงครูดับ รัฐฯกลับสนใจศึกนอกบ้าน

0

นักเรียนมะกันวัย ๖ ขวบ ยิงครูดับเป็นโศกนาฎกรรมครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ หลังจากอาชญากรรมที่เกิดจากปืนพุ่งกระฉูด สถิติของประเทศพบว่าเกิดการสังหารตำรวจในเมืองต่างๆทั่วประเทศคิดเป็นวันละ ๓ คนในปีนี้ นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่อเค้าอเมริกาจะกลายเป็นรัฐล้มเหลวในการบริหารประเทศ เป็นสังคมเมกากลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้หน้ากากผู้เจริญด้วยสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้นำเป็นพรรคใด ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันต่างก็เป็นพรรคที่เป็นตัวแทนและรับใช้กลุ่มคนชั้นสูง และบริษัทยักษ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอเมริกันอย่างแท้จริง วิกฤตในประเทศเหล่านี้ย่อมไม่มีวันได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะเวลานี้ต่างมุ่งมั่นเดินหน้าล้มกระดานหนี้สินของตัวเองด้วยการก่อสงครามไปทุกหย่อมหญ้า

วันที่ ๗ ม.ค.๒๕๖๖ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์รายงานว่า เด็กชายวัย 6 ขวบในนิวพอร์ตนิวส์ รัฐเวอร์จิเนีย ยิงครูโรงเรียนประถมของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส  ทำให้เธอต้องส่งโรงพยาบาลด้วยอาการที่คุกคามถึงชีวิตจากการโจมตีที่ตำรวจระบุว่าไม่ใช่อุบัติเหตุแต่ตั้งใจ

เหตุกราดยิงเกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่โรงเรียนประถมริชเนค สตีฟ ดรู(Steve Drew) หัวหน้าตำรวจของนิวพอร์ตนิวส์ (Newport News) ยืนยันว่าผู้ต้องสงสัยเป็นเด็กชายอายุ ๖ ขวบ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บนอกจากครูของเด็กชาย แต่ทีมยุทธวิธีของตำรวจเข้าไปในอาคารในกรณีที่มือปืนยังคงแสดงท่าทีคุกคาม

ดรูว์ เล่าว่า เด็กชายคนนี้ทะเลาะวิวาทกับครูของเขาก่อนจะยิงเธอด้วยปืนพก เขาอยู่ในความดูแลของตำรวจ ครูเป็นผู้หญิงอายุ ๓๐ ปี ตำรวจไม่ได้ให้คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดการทะเลาะวิวาท และไม่ได้บอกว่าเด็กชายสามารถหาปืนพกมาโรงเรียนได้อย่างไร

เพื่อนร่วมชั้นของผู้ต้องสงสัยที่ไม่ปรากฏชื่อ ซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุ ๖ ขวบบอกว่าเธอเห็นเหตุการณ์กราดยิง ครูหญิงถูกยิงโดยตั้งใจที่บริเวณท้องและครูคนนั้นคุกเข่าลง

โรงเรียนประถมริคเน็ค(Richneck Elementary) มีนักเรียนมากกว่า ๕๕๐ คน ตาม ข้อมูลสถิติของศูนย์การศึกษาแห่งชาติ ๘๔% ของนักเรียนมาจากครอบครัวที่ยากจนจึงมีสิทธิ์ได้รับอาหารกลางวันฟรี อัตราส่วนของนักเรียนต่อครูของโรงเรียนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของรัฐถึง ๕๗%

เหตุกราดยิงในวันศุกร์เกิดขึ้นเพียงสามวันหลังจากเปิดเรียนที่ริชเน็คหลังจากช่วงพักร้อน โดยภาพรวมของเหตุกราดยิงในโรงเรียนของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีที่แล้ว โดยมี ๕๑ เหตุการณ์ที่ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต

ในอดีตมือปืนที่อายุน้อยที่สุดที่สังหารผู้คนในเหตุกราดยิงในโรงเรียนของสหรัฐฯ คือเด็กชายวัย ๖ ขวบในรัฐมิชิแกน ได้ยิงเพื่อนร่วมชั้นเด็กผู้หญิงเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๐๐๐ ปัญหาเหตุกราดยิงในโรงเรียนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกและหมักหมมอยู่ในสังคมสหรัฐที่ยังไม่มีผู้นำคนไหนแก้ไขได้

นอกจากนี้ข้อมูลล่าสุดรายงานโดย NGO ของสหรัฐว่าการสังหารตำรวจสหรัฐเกิดขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี ๒๕๖๕ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเสียชีวิตเฉลี่ย ๓ คนต่อวัน และเผชิญความรุนแรงมากขึ้นในหน้าที่

อัตราการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งตั้งแต่ปี ๑๙๙๓ อย่างไรก็ตาม การกระทำความผิดรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมากในบางเมืองหลังการประท้วงเรื่อง Black Lives Matter ในปี ๒๐๒๐ และเจ้าหน้าที่ได้โต้แย้งว่าการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาแบบเสรี มีขึ้นหลังจากตำรวจสังหารจอร์จ ฟลอยด์ในปีนั้น แต่ผลลัพท์คือกำลังคร่าชีวิตพวกเขา

มีเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ๓๒๓ นายถูกยิงในขณะปฏิบัติหน้าที่ทั่วสหรัฐอเมริกาในปี ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจภราดรภาพแห่งชาติ (FOP) เปิดเผยในรายงานเมื่อเดือนที่แล้วว่า ในบรรดาเจ้าหน้าที่เหล่านี้ถูกยิง ๖๐ นาย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ๒๓% ของการเสียชีวิตตั้งแต่ปี ๒๐๑๙

นิวออร์ลีนส์ในหลุยเซียน่ากลายเป็นเมืองหลวงแห่งการฆาตกรรมของสหรัฐฯในปี ๒๕๖๕ ครองตำแหน่งที่น่ากลัวจากเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี และบันทึกการฆาตกรรมโดยเปรียบเทียบ มากกว่าเมืองที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมอย่างชิคาโกและนิวยอร์ก มีผู้ถูกสังหารอย่างน้อย ๒๘๐ คนในนิวออร์ลีนส์เมื่อปีที่แล้ว และตำรวจที่นั่นเสียชีวิต ๑๓ คน