จากกรณีที่มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กิจกรรม งานเสวนา “คนชังชาติ ควรออกไปจากสังคมไทยหรือไม่?” ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30-12.30น. ณ.ห้อง common room คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) จัดโดยนักศึกษารายวิชาสัมมนาปัญหาการเมืองการปกครองไทย ของอ.ประจักษ์ ก้องกีรติ ซึ่งได้ปรากฏชื่อของ คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ซึ่งได้ทำการปฏิเสธการเข้าร่วมกิจกรรม งานเสวนาดังกล่าว ไปก่อนหน้านี้นั้น
ล่าสุดทางด้านคุณสนธิญาณ ได้เปิดใจถึงสาเหตุในการปฏิเสธการเข้าร่วมกิจกรรม งานเสวนาดังกล่าวในรายการ Thai move talk ระบุว่า กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนของการเมืองในกลุ่มที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน จากกรณีงานเสวนา “คนชังชาติ ควรออกไปจากสังคมไทยหรือไม่?” ที่ร้อนแรงก็เพราะมีชื่อตนเข้าไปเกี่ยวข้อง ต้องเล่าที่ไปที่มา
“เมื่อได้เห็นการเผยแพร่ว่ามีการเชิญผมไปพูด นำผมไปโฆษณา จึงได้มีการสอบถามถึงที่มาที่ไป เพราะผมยังไม่ทันรู้เรื่อง ซึ่งปรากฏว่าน้องนักศึกษากลุ่มดังกล่าวได้ฝากหนังสือเชิญไปให้กับทีมงานที่เนชั่น ซึ่งทางทีมงานยังไม่ได้นำมาให้ผมเลย น้องนักศึกษาจากธรรมศาสตร์ ก็นำชื่อไปโปโมทกิจกรรมแล้ว” คุณสนธิญาณกล่าว
คุณสนธิญาณระบุต่อว่า ตนชื่นชมและยินดีที่น้อง ๆ นักศึกษาไม่ว่าจะเป็นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หรือมหาวิทยาลัยอื่น ๆ มีความตื่นตัวทางการเมือง เพราะนี้เป็นเรื่องสำคัญ คนในยุคตนที่ทำงานอยู่จนมาถึงปัจจุบัน ทำมาหากินเลี้ยงชีพไป และยังระลึก ตรึก ถึงความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ก็เพราะในยุคที่เป็นนักศึกษา ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง กิจกรรมของประชาชน กิจกรรมในเรียนรู้ของสังคมว่ามีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ว่ามีคนเอารัดเอาเปรียบ มีการข่มเหงกดขี่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่จริงในสังคมไทยเพราะฉะนั้นเมื่อนักศึกษาตื่นตัวในการที่จะเรียนรู้ถือเป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดี
ส่วนเหตุผลที่ตนไม่เข้าร่วม เพราะหัวข้อที่ตั้งมาว่า “คนชังชาติ ควรออกไปจากสังคมไทยหรือไม่?” นั้น ไม่ใช่หัวข้อเสวนาที่จะนำพาไปสู่ความคิด อ่าน ในการที่จะทำให้สังคมดีขึ้น ซึ่งตนได้กล่าวกับนักศึกษากลุ่มดังกล่าว ว่าถ้าอยากจัดงานเสวนาในหัวข้อแบบนี้ จะทำให้เกิดความเกลียดชังในสังคมมากขึ้น ผู้ร่วมเสวนาก็ไม่มีโอกาสพูดสิ่งที่สร้างสรรค์หรือเสนอแนะ หรือวิธีคิด ทางออกเพื่อสังคม เป็นการจะไปพูดเพื่อเอาชนะคะคานกันแค่นั้น
ในวิถีปฏิบัติของชีวิตตน ณ.ปัจจุบัน ตนจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้พูดให้ตนเองดีหรือให้ตนเองดูวิเศษ เนื่องจากปัจจุบันตนตั้งใจที่จะศึกษาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้มาก็คือการพัฒนาจิตใจของตัวเองให้เบิกบานเพื่อที่จะยกระดับจิตของตัวเองให้นำพาไปสู่เส้นทางของพระนิพพาน ซึ่งการที่ได้ศึกษาและเรียนเรื่องนี้ทำให้เกิดสภาวะทางจิตบางประการ ที่เราจะมีความรัก ความเมตตาต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกัน อย่าว่าแต่คนไทย เพื่อนมนุษย์ทั้งโลกล้วนจะต้องได้รับความเมตตาต่อกัน
“สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ทำแล้วนำพาไปสู่ความเกลียดชังหรือไปสะสมให้เกิดความเกลียดชังขึ้นในจิตใจของผู้คนในสังคมเป็นเรื่องตนหลีกเลี่ยงที่จะกระทำ” คุณสนธิญาณ
อย่างไรก็ตาม หลายท่านอาจจะกล่าวว่าเวลาจัดรายการพูดถึงพรรคอนาคตใหม่อยู่เรื่อยแบบนั้นเกลียดชังเขาหรือไม่ ซึ่งคุณสนธิญาณยืนยันว่า ไม่ได้เกลียดชัง โดยตนมักจะชื่นชมคุณธนาธร จึงรุ่งเรือวกิจ อยู่เสมอ ว่าเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์ของตัวเองชัดจน ขณะที่นักการเมืองเก่าๆ อยากเข้ามาเป็นรัฐมนตรี อยากมีตำแหน่ง อยากมีอำนาจ แล้วทุจริตคดโกง กลายเป็นวงจรอุบาท
แต่ตนก็จะยังย้ำอีกว่าความคิดในฐานะนักการเมืองของคุณธนาธรว่าที่มีความตั้งใจดี เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ ความคิดและกิจกรรมที่ทำนั้น นำไปสู่ความเกลียดชัง นำพาไปสู่การปะทะของคนในสังคม ตนจึงต้องนำข้อมูลและความจริงอีกด้านหนึ่งมาเปิดเผย เพื่อระงับยับยั้งเพื่อไม่ให้สังคมไทยเคลื่อนตัวไปสู่การเผชิญหน้าและนำพารบราฆ่าฟันกันอีกครั้งหนึ่ง
“ชีวิตผมได้ผ่านการรบราฆ่าฟัน การถูกจุดประกายทางการเมือง ถูกจุดขึ้นจากการเกลียดชัง พรรคคอมมิวนิสต์มาชักชวนเข้ากลุ่มจัดตั้ง เขาบอกว่าถ้าเราจะต้องฆ่าคนล้านคนเพื่อให้ประเทศชาติดีขึ้นดีหรือไม่.. ผมตอบยินดี ตอบตกลงทันที ต้องฆ่ามันให้ตายให้หมดไอ้คนเลว ในขณะที่ผู้คนอีกฝั่งหนึ่งก็บอกว่า ไอ้พวกที่เป็นคอมมิวนิสต์ คือพวกที่บ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไอ้พวกนี้จะต้องฆ่ามันให้ตายเหมือนกัน เห็นไหมครับสังคมไทยสมัยหนึ่งถูกนำพาไปสู่การเข่นฆ่า ซึ่งมาจากความเกลียดชังต่อกัน”
คุณสนธิญาณกล่าวต่อไปด้วยว่า การแก้ไขปัญหาของสังคมไทยที่ผ่านมาไม่ได้จบลงที่การฆ่าหรือแตกหักด้วยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดชนะ ทั้งนี้มาจากการอภัย จากความเข้าใจซึ่งกันและกัน นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ตนไปเข้าร่วมเสวา ในหัวข้อ “คนชังชาติ ควรออกไปจากสังคมไทยหรือไม่?” เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน เราควรที่จะมีความรัก ความเมตตาต่อกัน “ไม่มีคนไทยคนไหนควรที่จะออกไปจากประเทศไทย” เพราะนี่เป็นพื้นแผ่นดินของเรา ที่ปู่ ย่า ตา ยาย สร้างมาให้เราอยู่ร่วมกัน ความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่การที่จะต้องเข่นฆ่าทำลายกัน
ตนจึงพูดเสมอว่าวันหนึ่ง ตนรอให้คุณธนาธรและพรรคพวกได้ศึกษาธรรมอันแท้จริง ซึ่งมีความละเอียดซับซ้อน ทางสภาวะจิตใจ จะลดความร้อนรุ่ม จิตจะน้อมลงไปสู่การพิจารณาเข้าใจความจริง ว่าความจริงตามธรรมชาติไม่ได้มีอยู่เพียงแค่ สองด้าน คือดี เลว หรือ ขาวดำ มันมีมิติที่ล้ำลึกทับซ้อนกันอยู่มากมายมหาศาล จะต้องค่อยๆแกะ ค่อยๆคิด ค่อยๆพิจารณา
ดังนั้นในเวทีในที่นำพาไปสู่การพูดคุยกัน สิ่งที่เราควรจะคุยกัน คือประเทศไทยของเรา ควรจะเดินหน้าไปทางไหน ควรจะต้องแก้ไขปัญหาคนยากคนจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน ซึ่งอยู่ในอาชีพเกษตรกร จะทำให้รากฐานเหล่านี้แข็งแรงอย่างไร เพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ผู้คนทั้งโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คนไทยจะลดลง เรามีกลไกของหุ่นยนต์ -โปรแกรมของคอมพิวเตอร์ เข้ามาแทนที่คน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในห้วงของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ชีวิตของผู้คนจะดีขึ้นไม่ได้อยู่ที่การทะเลาะเบาะแว้งกัน อยู่ที่การคิดแสวงหาทางออก ในการที่จะแก้ไข จากภาวการณ์และปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
คุณสนธิญาณกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “นี่คือเหตุผลที่อยากจะเรียนชี้แจ้งให้เข้าใจเป็นคำพูดที่ออกจากหัวใจของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ชีวิตนี้ สนธิญาณไม่เคยมีการเสแสร้ง”