สำหรับคนรุ่นที่ยังไม่เคยผ่านอะไรแบบนี้ ผมบอกได้แค่ว่า ที่พวกคุณส่วนหนึ่งรู้สึกสบายๆดู Netflix ตามติดดราม่าในเฟส ทวิตเตอร์ ไอจี สั่ง Grab ฟู้ดมากิน ยัง Shopping ออนไลน์ ขณะที่คนที่หาเช้ากินค่ำกำลังไม่รู้จะเอาเงินเอาข้าวที่ไหนมาประทังชีวิต
“นี่คือยุคสมัยของพวกเราโว้ย” จริง ๆ : ดร.เวทิน ชาติกุล
ในเรื่องที่ผมจำได้เกี่ยวกับแม่ คือเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกในไทย แม่อายุ 5 ขวบ แม่อยู่ที่ “ท่าแพ” นครศรีฯ แม่เล่าว่าตื่นเช้า อาบน้ำกินข้าว นั่งเล็กกับเพื่อนตามปกติในบ้าน จู่ๆก็เห็นคนวิ่งตื่นตระหนกกันนอกถนน มีเสียงตะโกน “ญี่ปุ่นบุก” แล้วแม่ของเพื่อนก็วิ่งเข้ามาอุ้มตัวเพื่อนออกไป ทิ้งแม่ไว้ในบ้านคนเดียว
แม่ร้องไห้ เพราะตกใจ ประสาเด็ก ไม่นาน อาของแม่ก็วิ่งเข้ามาอุ้มแม่ออกไป ทุกคนต้องหนีออกจากบ้านโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก่อนทั้งนั้น เสื้อผ้าก็มีแค่ชุดติดตัว เงินทอง ทรัพย์สินต้องทิ้งไว้ที่บ้านหมด บ้านแตกสาแหรกขาด ยายต้องหนีไปอีกทาง ส่วนตาตอนนั้นออกเรืออยู่กลางทะเลไม่รู้ชะตากรรม
คนที่หนีออกมาจากบ้านท่าแพ ต้องเดินตัดทุ่งนาหลบทหารที่ตอนนั้นกำลังปะทะกันอย่างหนัก (คือวีรกรรมของ “จ่าดำ” ที่นครศรีฯ) ต้องเดินร่วม 10 กิโลเข้ามาในตัวเมือง ขอที่พักจากคนใจดีในเมืองนอนหนึ่งคืน แล้วถึงเดินเท้าต่อไปหลบอยู่กับญาติที่ต่างอำเภอ (ปัจจุบันคือ หมู่บ้านคีรีวง)
แม้สถานการณ์จะคลี่คลายลง เพราะรัฐบาลจอมพลป.ยอมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น แต่คนที่หนีออกจากบ้านไปก็ยังไม่กล้ากลับบ้านก็จนกว่าจะ 2 เดือนให้หลัง แม่ถึงได้กลับมาที่บ้านที่ท่าแพ พบกับยาย พบกับตา(ที่เรือประมงล่มกลางทะเล แต่รอดชีวิตมาได้ เมื่อกลับมาถึงบ้านก็พบว่าบ้านตัวเองเป็นสถานพยาบาลของทหารญี่ปุ่นไปแล้ว)
แม่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ทุกครั้งที่แม่เล่าเราจับความรู้สึกได้ว่าแม่จริงจังและชัดเจนกว่าเรื่องอื่น ๆไม่ว่าเหตุการณ์จะผ่านเลยไปกี่สิบปีแล้วก็ตาม ก็เหมือนที่น้าผมเป็นเวลาเล่าเรื่องสงครามประชาชนที่แกต้องหนีเผด็จการ(ตอนนั้น)ออกมาจากกรุงเทพฯ
หรือที่ผมยังรู้สึก ไม่ลืม ประสบการณ์ช่วงวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” แต่ละรุ่น แต่ละเจนเนอเรชั่น มีประสบการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตต่างกัน แม้จะอายุแค่ 5 ขวบแต่ผมเชื่อว่าประสบการณ์บ้านแตกสาแหรกขาดที่แม่เจอ มันฝังใจจำ ทำให้แม่เป็นคนที่ไม่ประมาท อดและออม ทำเยอะ ใช้น้อย เห็นมิตรที่พึ่งพากันได้สำคัญกว่าเงินทอง
หรือรุ่น อ.เสกสรรค์ที่บอกว่าตนเองคือ “สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์” หรือรุ่นผมที่เจ็บปวดกับวิกฤติปี 40 จะระวังตัวค่อนไปในทางกลัว เตรียมหาทางหนีทีไล่เอาไว้เสมอ เพราะตระหนักกับตัวเองแล้วว่า สิ่งที่เราไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นได้เลยในชีวิตไม่ว่ามันจะคืออะไรนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ
นี่คือบทเรียนที่โลกมอบไว้ให้แก่เราอย่างเจ็บปวด ลึกๆสำหรับผม แม้เราจะต่างเดือดร้อน วิกฤติครั้งนี้มันไม่ใช่สำหรับคนรุ่นผม แต่เป็นวิกฤติของคนรุ่นใหม่อย่างพวกคุณ มันย่างกรายเข้ามาในชีวิต ยามที่ชีวิตหลงและระเริงอยู่กับความมั่นใจว่า “นี่คือยุคสมัยของพวกเราเว้ย”
วิกฤติโควิด-19นี้ถ้าถามจากความคิดส่วนตัวผมคิดว่าจะหนักหนาสาหัสกว่าวิกฤติอื่น ฟังจากผู้เชี่ยวชาญมากกว่าผมพูดแบบเดียวกัน “ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน” “ร้ายแรงกว่า” “ไม่มีใครเคยเจอมาก่อน” ก็ไม่รู้ครับ จะหนักหนาแค่ไหนสำหรับรุ่นที่ผ่านอะไรกันมาแล้วเราก็คิดได้ เอาวะ ก็สู้กับมันอีกสักตั้ง
สำหรับคนรุ่นที่ยังไม่เคยผ่านอะไรแบบนี้ ผมบอกได้แค่ว่า ที่พวกคุณส่วนหนึ่งรู้สึกสบายๆดู Netflix ตามติดดราม่าในเฟส ทวิตเตอร์ ไอจี สั่ง Grab ฟู้ดมากิน ยัง Shopping ออนไลน์ ขณะที่คนที่หาเช้ากินค่ำกำลังไม่รู้จะเอาเงินเอาข้าวที่ไหนมาประทังชีวิต นี่แค่หัวขบวนของสึนามิเท่านั้น นี่แหละครับ ยุคสมัยของพวกเราเว้ย ตัวจริง เสียงจริง
แต่ละรุ่น แต่ละเจนเนอเรชั่น ต่างมีประสบการณ์เจ็บปวดของตัวเอง อยากไม่อยากคุณก็ต้องผ่าน เป็นหมากที่บังคับต้องเดิน ซึ่งขอพูดความจริงตรงๆว่า ด้วยการถูกห่อหุ้มจนเปราะบาง ด้วยความที่มีเบ้าหลอมที่เดินตามวิธีคิดตะวันตก หันหลังให้กับรากเหง้าของตัวเอง (ขณะที่ประจักษ์ชัดว่าตะวันตกกำลังล่มสลาย) ผมไม่เชื่อว่าทุกคนจะรอดผ่านมันไปได้
ขอให้โชคดี