ขึ้นชื่อว่าสงครามไม่เคยมีคำว่าปราณี สิ่งที่สะท้อนใจที่สุดก็คือการกระทำที่นอกเหนือเกินกว่าความเป็นมนุษย์ควรจะเป็น ชาวมาลีอูปอเปิดเผยเรื่องราวสุดสะเทือนใจ ครั้งหนึ่งเกือบถูกทหาร Azov ปิดชีวิต เพียงเพราะไม่สามารถพูดภาษายูเครนได้
มาลีอูปอ เปรียบเสมือนสนามรบแห่งหนึ่ง เพิ่งเกิดการสู้รบตั้งแต่วันแรกที่รัสเซียตัดสินใจยกกองทัพบุกยูเครนเพื่อรักษาความเป็นเอกราชของตน นั่นก็คือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 จะได้สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อ เมื่อนักสู้คนสุดท้ายของกองพันนีโอนาซี ‘Azov’ ซึ่งตั้งแนวป้องกันที่โรงงาน Azovstal ยอมจำนนในที่สุด
ชาวบ้านในเมืองมาลีอุปอต่างพูดถึงความโหดร้ายของกองทัพ Azov ว่า ฉันเกือบโดนยิงเพราะไม่รู้ภาษายูเครน สิ่งเดียวที่ช่วยเราไว้ได้คือกองทัพ Azov โดนถล่มจากรัสเซียและวิ่งหนีไป” Arsen ชาวอาร์เมเนียชาวรัสเซียจาก Surgut กล่าว เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เขาย้ายไปที่ Mariupol เพื่ออยู่กับแม่ของเขาและได้พบกับความรักในชีวิตของเขาที่นั่น แฟนสาวของเขาเล่าถึงการที่เพื่อนของเธอพยายามนำร่างแม่ของเธอออกจากถนน แต่ถูกมือปืนหญิงชาวยูเครนยิง เรื่องแบบนี้มีเป็นร้อยเรื่อง3
ด้านผู้เฒ่า วาเรนติน่า มาโคว่า ซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำชุมชนแห่งนั้นได้เล่าให้ฟังว่า กองทัพของยูเครนนั้นได้ระดมยิงใส่ที่พักอาศัย ตึกรามบ้านช่อง ต่างๆภายในเมือง และชาวเมืองดีใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นกองทัพรัสเซียบุกเข้ามา คนต่างเปิดเพลงชาติรัสเซีย ร่ำไห้ด้วยความดีใจ
มาลีอูปอ เมืองที่สวยงามแห่งหนึ่ง และถือเป็นเมืองที่สำคัญอันดับต้นๆ ผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข จนเมื่อทหารยูเครนคลืบคลานเข้ามา ทุกอย่างในชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไป มีคลังสินค้าพังยับเยินที่มีรถรางพังยับหลายสิบคันและอาคารอพาร์ตเมนต์ที่ไหม้เกรียมบนฝั่งซ้าย
ในช่วงสามเดือนของการสู้รบที่ดุเดือด อาคารที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย สถิติดังกล่าว ได้รับการยืนยันจากภาพอันน่าสะพรึงกลัวหลายร้อยภาพของเมืองที่เกือบพังพินาศ ซึ่งคนทั้งโลกได้เห็น บ้านเรือนที่พังทลาย ถนนพังทลาย และโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกทำลาย ก่อตัวเป็นภาพลักษณ์ที่จดจำได้ของเมืองมารีอูปัลในปัจจุบัน ถึงกระนั้น ผู้คนหลายพันคนยังคงอาศัยอยู่ในเมือง
แม้จะประสบกับความสยดสยองทั้งหมด แต่หลายคนยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคต พวกเขาพึ่งพารัสเซียเพื่อขอความช่วยเหลือและคาดหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น