ทุกวันนี้ การวิจัยและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมการทหารของรัสเซียภายใต้โครงการอาวุธยุทโธปกรณ์ของรัฐ ก้าวหน้าอย่างมาก มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพการต่อสู้ของระบบขีปนาวุธที่ล้ำสมัยและให้การป้องปรามเชิงกลยุทธ์ที่เชื่อถือได้
วันที่ ๑๘ ธ.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวทาซซ์ รายงานว่า พลเอกอาวุโส เซอร์เกย์ คาราคาเยฟผู้บัญชาการกองกำลังขีปนาวุธยุทธศาสตร์ของรัสเซีย(the country’s Strategic Missile Forces Colonel General Sergey Karakayev) ประกาศชัดว่า ซาร์มัต ไอซีบีเอ็ม ที่ยอดเยี่ยมจะเป็นแกนนำหลักของกองทัพแน่นอน และรัสเซียจะเริ่มพัฒนาระบบขีปนาวุธเคลื่อนที่ขั้นสูงในปี ๒๕๖๖ เพิ่มมากขึ้น
ระบบขีปนาวุธใหม่จะสามารถเคลื่อนย้ายและปล่อยออกจากส่วนใดส่วนหนึ่งของรัสเซียได้ทันที
เขากล่าวว่า “RS-28 Sarmat (ICBM) ระบบขีปนาวุธที่มีขีปนาวุธข้ามทวีปขนาดหนัก จะกลายเป็นกำลังหลักในกองกำลังขีปนาวุธหนักที่มีฐานไซโลของรัสเซียในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”
เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่ได้จากการวิจัยพัฒนาอย่างต่อเนื่องของรัสเซีย เช่นเดียวกับระบบขีปนาวุธอวานการ์ดและยาร์สที่มาถึงกองทัพพร้อมใช้ในปัจจุบันแล้ว”
ในงานเฉลิมฉลองวันยุทธศาสตร์ขีปนาวุธของรัสเซียทุกวันที่ ๑๗ ธันวาคมของทุกปี คาราคาเยฟกล่าวว่า “ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน การสร้างระบบขีปนาวุธนี้หมายถึงการเสริมความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของรัสเซีย สำหรับกองกำลังขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ หมายความว่าเราพร้อมแล้วสำหรับการทำงานติดอาวุธใหม่ และกองทหารเรียนรู้วิธีใช้งานอาวุธใหม่พร้อมรบด้วย”
Sarmat โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนของ Voyevoda ICBM ด้วยลักษณะเฉพาะบางประการ โดยเฉพาะช่วงเร่งความเร็วสั้นๆ ของ Sarmat ช่วยให้สามารถกำหนดเป้าหมายหัวรบ MIRVed ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งทำให้ยากต่อการตรวจจับขีปนาวุธหลังจากปล่อยและเข้าปะทะด้วยความสามารถในการโจมตีต่อต้านขีปนาวุธ ศักยภาพด้านพลังงานของ Sarmat ICBM ทำให้สามารถใช้หัวรบได้หลากหลายขึ้น
คาราคาเยฟย้ำว่า“ผู้พัฒนาระบบขีปนาวุธซาร์มัตสามารถสร้างลักษณะเฉพาะของขีปนาวุธใหม่ได้ ซึ่งทำให้ขีดความสามารถของระบบป้องกันขีปนาวุธที่มีอยู่ในปัจจุบันและในอนาคตจะไร้ประโยชน์”
กองกำลังขีปนาวุธยูเชอร์(Uzhur) ในภูมิภาคครัสโนยาสค์ ไซบีเรียตะวันออกได้รับเลือกให้ติดอาวุธใหม่ด้วย Sarmat ICBM เนื่องจากหน่วยนี้เหมาะสมทางเทคนิคสำหรับการติดตั้งระบบขีปนาวุธชั้นหนักด้วยขีปนาวุธข้ามทวีปที่ขับเคลื่อนด้วยของเหลว ประจำการในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ และการตัดสินใจส่ง ไปยังหน่วยอื่นๆ จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางยุทธศาสตร์ทางทหารที่กำลังพัฒนา
ซาร์มัต ICBM(RS-28 Sarmat) เป็นระบบขีปนาวุธไซโลที่ทันสมัยของรัสเซีย ซึ่งติดตั้งขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีปที่ขับเคลื่อนด้วยของเหลว สามารถบรรทุกประจุนิวเคลียร์ได้ ขีปนาวุธดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาที่ศูนย์จรวดแห่งรัฐาเมคาเยฟ(Makeyev) ในเมืองเมียสส์ (Miass) ภูมิภาคเชลยาบินสค์ (Chelyabinsk) ตั้งแต่ทศวรรษ ๒๐๐๐ เพื่อแทนที่ ขีปนาวุธโวเยโวดา ไอซีบีเอ็ม (R-36M2 Voyevoda ICBM) ที่ปฏิบัติการในกองกำลังขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียมาตั้งแต่ปี ๑๙๘๘
จากการประมาณการของผู้เชี่ยวชาญ RS-28 Sarmat สามารถส่งหัวรนิวเคลียร์ ที่มีน้ำหนักมากถึง 10 ตันไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก ทั้งเหนือขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้
ก่อนหน้างานฉลอง ปธน.ปูติน ได้ไปเยี่ยมเจ้าหน้าที่ร่วมของหน่วยงานทางทหารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทางทหารพิเศษของรัสเซียในยูเครน ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกเครมลินกล่าวว่า “เมื่อวันศุกร์ ปธน.ปูติน ทำงานกับเจ้าหน้าที่ร่วมของสาขาทหารที่เกี่ยวข้องในปฏิบัติการทางทหารพิเศษ ประมุขแห่งรัฐตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ ได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับความคืบหน้าของปฏิบัติการทางทหารพิเศษ จัดการประชุมรวมและการประชุมแยกต่างหากกับผู้บัญชาการ”
กระทรวงกลาโหมรายงานสถานการณ์การสู้รบล่าสุด ๑๖ ธ.ค.แยกตามพื้นที่ต่างๆคือ
ในเคียฟ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมในเขตโกโลซีฟสกี้ (Goloseevsky), ในเขต เดสเนียนสกี้(Desnyansky) ดาร์นิตสกา (Darnytska) และในเขตดนิปรอฟสกี้ (Dniprovsky) ถูกโจมตีรถไฟใต้ดินหยุด ไฟฟ้าดับบางส่วน และน้ำประปาหยุด
ในคาร์คิฟ โดยรวมแล้วมีการโจมตี 7 ครั้งในศูนย์กลางของภูมิภาค และอีก 3 ครั้งในภูมิภาคโดยรอบ ส่งผลให้การขนส่งภาคพื้นดินและรถไฟใต้ดินหยุดลงโดยสิ้นเชิง ระบบการสื่อสารเคลื่อนที่ล้มเหลว บางส่วนไม่มีแสงและน้ำ
ภูมิภาคซาโปริชเชีย จากรายงานของหน่วยงานท้องถิ่น มีการโจมตีอย่างน้อย ๑๒ ครั้งในพื้นที่ที่ถูกยึดครอง ไฟฟ้าและน้ำหายไปบางส่วน เกิดระเบิดขึ้นที่ห้องเครื่องของโรงไฟฟ้า ดเนโปรฯ(DneproGES)
นอกจากนี้กองทัพรัสเซียได้ทำลายคลังกระสุนของยูเครนในคาร์คอฟ ทำลายสถานีเรดาร์ของระบบจรวด S-300 ในโดเนตสค์ (DPR) และระบบการป้องกันทางอากาศของรัสเซียทำลาย UAV ของยูเครน ๔ ลำ รวมทั้งสกัดกั้นจรวด HIMARS ๒ ลูก
รัสเซียดำเนินการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของยูเครนอย่างแม่นยำตั้งแต่เดือนตุลาคม เพื่อตอบโต้การโจมตีของผู้ก่อการร้ายยูเครน ซึ่งรวมถึงการระเบิดร้ายแรงที่สะพานไครเมีย ซึ่งจัดโดยเคียฟ ตามคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีเดนิส ชมีกาล ของยูเครน ประมาณ ๕๐% ของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของยูเครนได้รับความเสียหาย ทางการยูเครนเรียกร้องให้ประชาชนลดการใช้ไฟฟ้าและใช้ไฟดับเป็นประจำ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีการแจ้งเตือนการโจมตีทางอากาศในภูมิภาคของยูเครนทุกวัน!!