ความเคลื่อนไหวในจุดวาบไฟเอเชีย-แปซิฟิคไม่ได้นิ่งสงบ ล่าสุดหลังการเยือนไต้หวันของประเทศบริวารสหรัฐ ทั้งแคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลียและญี่ปุ่นเพื่อท้าทายจีนอย่างเย่อหยิ่งอวดอำนาจ ขบวนเครื่องบินทิ้งระเบิด PLA จำนวนมาก ก็เลยบินไปเฉี่ยวเหนือน่านฟ้าเกาะไต้หวันอีกครั้ง ทางการจีนชี้ว่า เป็นไปเพื่อขัดขวางการสมรู้ร่วมคิดระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนและกองกำลังภายนอกทั้งสหรัฐและพวก
เรื่องนี้ซ่ง จงผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารของจีนแผ่นดินใหญ่ ฟันธงว่านี่เป็นจำนวนการสำแดงเดชของ บินทิ้งระเบิด H-๖ ที่ใหญ่ที่สุดในช่วงเวลา ๒๔ ชั่วโมง นับตั้งแต่เกาะไต้หวันเริ่มเปิดเผยข้อมูลรายวันเกี่ยวกับกิจกรรมของเครื่องบินรบ PLA ในภูมิภาคตั้งแต่ปี ๒๐๒๐ เป็นการส่งสัญญาณเตือนทั้งไต้หวันและกลุ่มผู้สนับสนุนให้เกิดการแบ่งแยกดินแดน การขยับทางทหารของจีนครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสหรัฐผลักดันและบีบคั้นจีนทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงหลายประเด็น
วันที่ ๑๖ ธ.ค.๒๕๖๕สำนักข่าวโกลบัลไทมส์และรัสเซียทูเดย์ รายงานว่า จีนส่งเครื่องบินรบเข้าไปในเขตแสดงตนเพื่อป้องกันภัยทางอากาศ หรือที่รู้จักกันว่า ADIZ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ ๑๒-๑๓ ธ.ค.ที่ผ่านมา รวมกว่า ๒๑ ลำ โดยเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์รุ่นเซียน เอช-๖ (Xian H-6) รวมถึงเครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำแบบวาย-๘ (Y-8) และเครื่องบินขับไล่เจ-๑๑ (J-11)
ความเคลื่อนไหวทางการทหารของจีนน่าจะมีเป้าหมายเพื่อปรามประเทศต่าง ๆ มิให้สนับสนุนไต้หวัน โดยเครื่องบินของจีนเฉี่ยวน่านฟ้าเขต ADIZ เพิ่มขึ้น หลังจากนายโกชิ ฮากิวดะ (Koichi Hagiuda) สมาชิกอาวุโสและหัวหน้าทีมกำหนดนโยบายของพรรค Liberal Democrat Party หรือ LDP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของญี่ปุ่น เดินทางเยือนไต้หวันเพื่อท้าทายและยั่วยุจีน พร้อมทั้งย้ำท่าทีการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับไต้หวันให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงความร่วมมือด้านการทหาร เพื่อสกัดกั้นต่อต้านจีนโดยตรงตามจุดยืนทางยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของวอชิงตัน
ที่สำคัญหลังจากที่สหรัฐฯพยายามสร้างภาพว่า ต้องการลดระดับความขัดแย้งกับจีนพร้อมกลับมาสานสัมพันธ์ให้เป็นปกติ แต่ความจริงกำลังเดินหน้าบดขยี้จีนทางเศรษฐกิจอย่างไม่สนใจหลักการใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสรีภาพ ประชาธิปไตยหรือกฎหมายสากล ออกอาการแบบอันธพาลใหญ่กร่างคับโลกบีบบังคับให้ทุกประเทศต้องเลิกคบหากับจีน คว่ำบาตรบริษัทยักษ์จีนเพราะตามหลังเค้าหลายปี ทำเพื่อขัดขวางจีนไม่ให้เจริญก้าวหน้าเหนือประเทศตัวเอง
ในที่สุดจีนก็สุดทน ออกมาสับเละ สหรัฐฯเลิกทำตัวเป็นตำรวจโลก ที่ชอบทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศเสียเอง และเที่ยว ‘บีบบังคับทางเศรษฐกิจ’กับจีนซึ่ง”ละเมิด” กฎหมายการค้า การควบคุมการส่งออก และยื่นเรื่องฟ้องต่อWTOแล้ว
จีนประณามรัฐบาลสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำบริษัทเทคโนโลยีของจีนหลายสิบแห่ง กีดกันไม่ให้ซื้อชิ้นส่วนและส่วนประกอบของอเมริกา ซึ่งเป็นการบีบบังคับทางเศรษฐกิจอย่างโจ่งแจ้ง”
วอชิงตันประกาศคว่ำบาตรลงโทษบริษัทเทคโนโลยีจีน ๓๖ แห่ง ซึ่งรายงานครั้งแรกเมื่อต้นสัปดาห์นี้โดย Bloomberg และ Financial Times โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน หวัง เวียนบิน (Wang Wenbin) กล่าวว่าการตัดสินใจดังกล่าวจะบั่นทอนความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศอย่างรุนแรง
หวังวิพากษ์วิจารณ์ว่า “สหรัฐฯ ขยายแนวคิดเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ใช้มาตรการควบคุมการส่งออกในทางที่ผิด มีส่วนร่วมในการเลือกปฏิบัติและไม่เป็นธรรมต่อวิสาหกิจของประเทศอื่น ๆ และทำให้ประเด็นทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเป็นอาวุธทางการเมือง” และเสริมว่า “ นี่เป็นการบีบบังคับทางเศรษฐกิจและการกลั่นแกล้งในด้านเทคโนโลยีอย่างโจ่งแจ้งและน่าละอาย”
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯจะจัดให้บริษัทจีนอยู่ในรายชื่อที่เรียกว่า รายชื่อบัญชีดำหรือ เอ็นไททีลิสต์ (Entity List) โดยห้ามไม่ให้ซื้อสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ เว้นแต่จะได้รับ ใบอนุญาตส่งออกพิเศษ ผู้ผลิตชิปชั้นนำของจีน YMTC หรือหยางซี เมโมรี่ เทคโนโลยี (Yangtze Memory Technologies) ถูกรวมอยู่ในรายชื่อด้วย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามวอชิงตันในการ“กำหนดเป้าหมายบริษัทเทคโนโลยีของจีนที่เชื่อว่าคุกคามความมั่นคง”ซึ่งได้บังคับใช้การควบคุมการส่งออกที่เข้มงวด ไปแล้ว เมื่อต้นปีนี้ ซึ่งทำให้บริษัทจีนยากที่จะได้รับ สารกึ่งตัวนำและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตชิปคอมพิวเตอร์
สำหรับร่างกฎหมายใหม่ ที่เสนอในรัฐสภาสหรัฐฯในสัปดาห์นี้ เพื่อตัดบริษัทเทคโนโลยีของจีนออกจากธนาคารอเมริกัน หวังกล่าวว่า “วอชิงตันกำลังใช้อำนาจในทางที่ผิดในการข่มเหงรังแกบริษัทจีน ในขณะที่ให้คำมั่นว่าจะปกป้องสิทธิของ ธุรกิจในท้องถิ่น”
เขาย้ำว่า“การบ่อนทำลายกฎระหว่างประเทศจะส่งผลย้อนกลับมาที่สหรัฐฯ เองในที่สุด”
นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ปธน.โจ ไบเดนได้ดำเนินนโยบายที่เป็นศัตรูต่อจีนหลายเรื่องเช่นเดียวกับโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตปธน.คนก่อน นอกเหนือจากการทำสงครามการค้ามุ่งเป้าไปที่บริษัทเทคโนโลยีเป็นส่วนใหญ่ ไบเดนยังได้ส่งเรือรบอเมริกันผ่านน่านน้ำไต้หวันที่มีการโต้แย้งนอกชายฝั่งของจีนเป็นประจำทุกเดือน ในขณะเดียวกันก็เพิกเฉยต่อคำเตือนซ้ำ ๆ ของปักกิ่งให้ยุติการติดต่อทางการทูตโดยตรงหนุนหลังไต้หวันแบ่งแยกดินแดน ซึ่งจีนถือว่าเป็นเส้นแดงที่ใครก็ไม่สิทธิข้าม
นั่นหมายความว่าสหรัฐฯไม่แคร์ อาจเชื่อว่ามีเส้นสนกลในที่สหรัฐฯสามารถเชื่อมโยงได้เหมือนในไต้หวัน สังเกตดูการเคลื่อนไหวต้านปธน.สี จิ้นผิงที่เกิดขึ้นจากชนวนปัญหานโยบายโควิดเป็นศูนย์ ลามเป็นการขับไล่ปธน.และโค่นระบบการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ในช่วงข้ามคืน ทั้งยังมีการเคลื่อนไหวเป็นระลอกในต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกาและอังกฤษ โดยกลุ่มนักศึกษาและนักเคลื่อนไหวที่นิยมตะวันตก และบางส่วนหนีมาจากกรณีจลาจลฮ่องกง เมื่อเป็นเช่นนี้ท่าทีของจีนที่พยายามประคับประคองความสัมพันธ์กับสหรัฐฯมาโดยตลอด อาจจะต้องเปลี่ยนไป แต่กลับเป็นผลดีกับพันธมิตรโลกหลายขั้วที่จะทำให้สนิทแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากยิ่งขึ้น เพราะสหรัฐเปิดศึกรอบด้านเองทั้งจีน รัสเซีย อิหร่านและกลุ่มอาหรับ!!??