ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอังกฤษนับวันย่ำแย่ลง หลังนายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศอย่างเปิดเผยว่าอังกฤษกับจีนหมดเวลายุคทองกันแล้ว ท่าทีทางการทูตและเศรษฐกิจก็ออกอาการกร้าวต่อจีนมากกว่าสหรัฐฯซึ่งเป็นหัวหน้าทีมด้วยซ้ำ ในขณะที่ทั้งสหรัฐและอียูโฆษณายังพร้อมสานต่อสัมพันธ์ทางการเมืองเศรษฐกิจ แต่ให้ลูกทีมเล่นแรงอย่างโจ่งแจ้งกับจีน ทั้งอังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย
ล่าสุดจากกรณี เกิดการประท้วงรัฐบาลจีนเรื่องนโยบายโควิดเป็นศูนย์แล้วขยายประเด็นเป็นการต่อต้านรัฐบาลจีน ฝั่งตะวันตกก็เร่งสนับสนุนให้นักศึกษาและนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลสี จิ้นผิงออกมาประท้วงอย่างอิสระ เกิดกรณีตะลุมบอนกันหน้าสถานทูตจีนระหว่างเจ้าหน้าที่สถานทูตและผู้ประท้วงในพื้นที่ของสถานทูตที่เป็นเอกสิทธิ์ แต่อังกฤษกลับเข้ามาแทรกจะขอสอบสวนเจ้าหน้าที่ทูตจีน ซึ่งจีนถือว่าเป็นการละเมิดมารยาทการทูตอย่างแข็งกร้าว จึงเรียกเจ้าหน้าที่การทูตในสหราชอาณาจักรกลับประเทศ
วันที่ ๑๕ ธ.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานว่าการเปิดเผยของนายเจมส์ เคลเวอร์ลี (James Cleverly) รมว.ต่างประเทศสหราชอาณาจักร ที่ทวิตข้อความผ่านบัญชีทวิตเตอร์ส่วนตัว ระบุว่า รัฐบาลจีนเรียกตัวนายเชง ซีหยวน (Zheng Xiyuan) กงสุลใหญ่จีน ณ เมืองแมนเชสเตอร์ ของสหราชอาณาจักร และ จนท.กงสุลจำนวนรวม ๖ คน กลับประเทศ
ขณะเดียวกัน รมว.ต่างประเทศสหราชอาณาจักร เรียกร้องให้ผู้แทนทางการทูตทุกประเทศที่ประจำการในสหราชอาณาจักรเคารพต่อกฎหมายและเน้นย้ำว่าชาวสหราชอาณาจักรไม่ยอมรับเหตุทำร้ายร่างกาย เฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดในพื้นที่ทางการทูต ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ ตร.เมืองแมนเชสเตอร์เรียกร้องให้ จนท.การทูตจีน ๖ คน สละเอกสิทธิ์ทางการทูตและเข้าให้ปากคำเกี่ยวกับเหตุทำร้ายร่างกายภายในสถานกงสุล เป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวนกรณี จนท.การทูตของจีนในเมืองแมนเชสเตอร์ ตะลุมบอนกับชาวฮ่องกงที่ชุมนุมประท้วงหน้าสถานกงสุลจีน ณ เมืองแมนเชสเตอร์ เมื่อวันที่ ๑๖ ต.ค.๒๕๖๕ ในระหว่างที่ผู้ชุมนุมประท้วงดังกล่าวแสดงความไม่เห็นด้วยกับมติสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ให้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นสมัยที่ ๓ ติดต่อกัน
เคลฟ เวอร์ลี กล่าวว่า “ผมรู้สึกผิดหวังที่บุคคลเหล่านี้จะไม่ถูกสัมภาษณ์หรือได้รับความยุติธรรม”เขากล่าวในแถลงการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรแยกต่างหาก “
อลิเซีย เคียร์นส์ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของรัฐสภาอังกฤษ (Alicia Kearns, who chairs the British parliament’s foreign affairs committee)กล่าวเมื่อวันพุธว่า ทั้ง ๖ คนควรถูกห้ามไม่ให้กลับสหราชอาณาจักรอย่างถาวร
กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องเอกราชฮ่องกงสวมหน้ากากมาชุมนุมที่ประตูหน้าสถานกงสุลในเดือนตุลาคม ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดการประชุมสองครั้งต่อทศวรรษที่กรุงปักกิ่ง การตะลุมบอนเกิดขึ้นระหว่างกลุ่มคนดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่สถานกงสุล โดยผู้ประท้วงรายหนึ่งอ้างว่าเขาถูกลากเข้าไปในบริเวณสถานกงสุลและถูกทุบตี
รัฐบาลจีนแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ทางการทูต ๒ คนถูกฝูงชนรุมทำร้าย และเรียกร้องการปกป้องดูแลที่ดีกว่านี้จากทางการอังกฤษ เจิ้งยอมรับว่าเขามีส่วนในการ ทะเลาะวิวาทที่ “ไม่น่าพอใจ”กับผู้ประท้วงคนหนึ่ง โดยไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนเริ่มตะลุมบอนก่อน
เหตุการณ์ประท้วงเกี่ยวกับการต่อต้านนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในหลายเมืองใหญ่ในจีนและลุกลามไปยังต่างประเทศ ทูตปักกิ่งประจำฝรั่งเศสกล่าวสรุปไว้ชัดเจนว่ามีกลิ่นไอปฏิวัติสีในฮ่องกงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
หลู่ ชาย(Lu Shaye) เอกอัครราชทูตจีนประจำปารีสกล่าวว่า “วันแรกเป็นความโกรธของผู้ประท้วงต่อความล้มเหลวของรัฐบาลท้องถิ่น แต่ถูกกลุ่มที่ต้องการ ‘ทำลาย’ จีนเอามาเป็นประเด็นขยายไปสู่การเมืองใหญ่โค่นล้มผู้นำและรัฐบาลชุดนี้”
ทางด้านผู้นำอังกฤษ นายกรัฐมนตรี ริชชี่ สุแนค(Rishi Sonak) เปิดเผยว่าจะไปเยือนปาเลสไตน์ในพื้นที่ยึดครองของอิสราเอลในเขตเวตส์แบงก์ท่ามกลางการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างพลเรือนปาเลสไตน์กับทหารอิสราเอล
สุแนค จะเดินทางไปยังดินแดนที่ถูกยึดครองในต้นปีหน้า ซึ่งเป็นวันครบรอบ ๗๕ ปีของการก่อตั้งระบอบไซออนิสต์ และพบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลอิสราเอลชุดปัจจุบัน
เขาประกาศข่าวนี้ระหว่างการประชุมร่วมกับองค์กรไซออนิสต์ที่รู้จักกันในชื่อ “เพื่อนอนุรักษ์นิยมของอิสราเอล” ในลอนดอน ในความต่อเนื่องของการประชุม นายกรัฐมนตรีอังกฤษเน้นย้ำว่า เขาจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับองค์กรที่สนับสนุนการคว่ำบาตรและ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่อสินค้าที่ผลิตในอิสราเอล (BDS) และป้องกันไม่ให้กระบวนการต่อต้านอิสราเอลนี้ดำเนินต่อไปในประเทศตะวันตก
ความก้าวร้าวของอังกฤษต่อจีน มีแนวโน้มทวีรุนแรงมากขึ้น ยิ่งในการเดินทางเยือนอาหรับของปธน.สี จิ้นผิงประสบความสำเร็จมากเท่าใดยิ่งสั่นคลอนอำนาจของอิสราเอลและสหรัฐในย่านนี้มากขึ้นเท่านั้น ที่สำคัญสี จิ้นผิงได้แสดงจุดยืนชัดเจนในการประชุมกับกลุ่มอ่าวอาหรับว่าสนับสนุนปาเลสไตน์ ซึ่งตรงข้ามกับอังกฤษที่เปิดหน้าประกาศหนุนอิสราเอลเป็นหนึ่งเดียวกับสหรัฐฯอย่างเต็มที่!!??