ท่ามกลางความท้าทายของการขับเคี่ยวระหว่างขั้วอำนาจเดี่ยวสหรัฐและพันธมิตรแองโกลแซกซอน กับขั้วอำนาจหลายขั้วที่มีจีนเป็นหนึ่งในแกนนำหลักของตะวันออก สหรัฐฯได้หันหน้าเข้าสู่การรณรงค์ต่อต้านจีนอย่างเปิดเผยและเอาการเอางาน เน้นย้ำยั่วยุกรณีไต้หวันท้าทายจีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จีนจึงต้องเตรียมพร้อมทางการทหารอย่างจริงจังแม้จะไม่ต้องการรบ เพราะชอบการค้าขายมากกว่าก็อาจต้องรบเพราะอีกฝ่ายหมายหัวแล้วอย่างไม่ปิดบัง วันนี้จึงเห็นกองทัพจีนซ้อมรบในเมืองโดยใช้AI ส่งสัญญาณบอกสหรัฐฯชัดๆว่าแทรกแซงเมื่อไหร่ก็พร้อมลุยไม่ปล่อยยืดเยื้อ
วันที่ ๙ ธ.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวโกลบัลไทมส์รายงานว่า กองทัพจีนเพิ่งดำเนินการบินครั้งแรกสำหรับโดรนสาธิตความเร็วสูงรูปแบบใหม่ ซึ่งสามารถช่วยทดสอบและตรวจสอบเทคโนโลยีใหม่หลายอย่าง รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ นักบินผู้ภักดี และฝูงโดรน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
โดรนรุ่นใหม่ได้พัฒนาโดยศูนย์ทดสอบการบินของบริษัทอุตสาหกรรมการบินแห่งประเทศจีน (AVIC) เครื่องบิน Liuxing-260 ประสบความสำเร็จในการบินเที่ยวแรกได้สำเร็จ
AVIC กล่าวว่าระหว่างการบินซึ่งเกิดขึ้นในทะเลทรายทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน โดรน Liuxing-260 บินสูง ความเร็วสูง เคลื่อนที่เร็ว บินขึ้นจากยานปล่อย ดำเนินการซ้อมรบหลายครั้ง รวมทั้งดำน้ำ กลิ้ง และบินวน ก่อนจะร่อนลงไปยังพื้น ตำแหน่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับการกู้คืนร่มชูชีพ
ในขณะเดียวกัน กองพลรบของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนหรือ PLA ได้จัดการฝึกซ้อมการสู้รบในเมืองโดยใช้โดรนและหุ่นยนต์ ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
สถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) รายงานการฝึกซ้อมที่ดำเนินการโดย Linfen Brigade ของกองทัพ PLAที่ 71st Group Army เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ สนามฝึกการรุกและการป้องกันในเมือง มีการแข่งขันโซนบูรณาการอุปกรณ์ไร้คนขับของทหาร
ในระหว่างการฝึกซ้อม กองทหารได้รับข้อมูลการลาดตระเวนจากโดรน ขณะที่พวกเขาเข้าประจำตำแหน่งที่ได้เปรียบ หลังจากนั้นโดรนทางอากาศและยานหุ่นยนต์ได้นำการจู่โจมเข้าสู่อาคารเป้าหมายโดยมีทหารเดินเท้าติดตาม
รายงานระบุว่าโดรนปีกโรเตอร์ขนาดเล็กและยานหุ่นยนต์ติดตามไม่เพียงทำหน้าที่ลาดตระเวนเท่านั้น แต่ยังขนส่งยุทโธปกรณ์และวัสดุสนับสนุนอื่นๆ ด้วย ยานวิศวกรรมไร้คนขับขนาดใหญ่ยังถูกนำไปใช้เพื่อฝ่าอุปสรรคที่ขวางทางอีกด้วย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองพลนี้ได้เพิ่มขีดความสามารถในการรวมยุทโธปกรณ์ไร้คนขับ ดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับการตัดสินใจโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย และนำอุปกรณ์ไร้คนขับไปใช้อย่างแพร่หลายในการลาดตระเวน สนับสนุนการรบ และสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรบในสงครามในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พันโทซู ไป่เซียน (Xu Peixian) กล่าวว่า “กองพลนี้ยังใช้ระบบการฝึกจำลอง ๓ มิติสำหรับการทำสงครามในเมือง ซึ่งมีลักษณะไม่ต่างจากวิดีโอเกม ในการฝึกกองกำลัง มีการจำลองเกือบ ๑๐๐ ครั้งด้วยระบบนี้ ฝึกการประสานงานอย่างละเอียดระหว่างทหารแต่ละคนกับอาวุธขนาดใหญ่”
ผู้เชี่ยวชาญทางทหารในปักกิ่งซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อระบุว่า สงครามในเมืองเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ท้าทายที่สุดรูปแบบหนึ่งในการรบสมัยใหม่ ซึ่งอาจทำให้มีการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก การบูรณาการอุปกรณ์ไร้คนขับและการฝึกจำลองเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มขีดความสามารถในการสู้รบของกองกำลังและลดจำนวนผู้เสียชีวิต
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ภายใต้กองบัญชาการภาคตะวันออกของ PLA กองทัพกลุ่มที่ ๗๑ ต้องฝึกการเผชิญหน้ากับความต้องการการต่อสู้ของสงครามในเมืองในสถานการณ์ที่เป็นไปได้จากกรณีแบ่งแยกดินแดนของเกาะไต้หวัน หลังการยกพลขึ้นบกสะเทินน้ำสะเทินบก และนั่นคือสาเหตุที่ต้องมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า .
กองพลน้อยหลินเฟินได้ชื่อมาจากการรณรงค์หลินเฟินในช่วงสงครามปลดปล่อย ค.ศ. ๑๙๔๖-๑๙๔๙ ซึ่งกองพลนี้เข้ายึดเมืองหลินเฟินทางตอนเหนือของจีนจากกองกำลังก๊กมินตั๋ง ทำให้เหมาเจ๋อตงกล่าวว่าการรณรงค์ “เป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จสำหรับ การสู้รบเชิงรุกในเมือง”
ด้านสหรัฐฯมีความเคลื่อนไหวต่อต้านจีนอย่างหนักมากขึ้นในทางการทูตและเศรษฐกิจ ล่าสุดส.ส.รีพับลิกันสหรัฐฯประกาศว่าสหรัฐฯต้องเร่งเดินหน้าต่อต้านอิทธิพลจีนในทันทีก่อนที่จะสาย
ไมค์ กัลลาเกอร์(Mike Gallagher (R-WI) สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐสังกัดรีพับลิกันกล่าวว่า ” วันนี้ได้รับเลือกจาก ส.ส.เควิน แม็คคาธี (McCarthy) ผู้นำพรรคให้เป็นประธาน Select Committee on China”ซึ่งเราต้องตระหนักว่า ‘การผงาดขึ้นอย่างสันติ’ ของจีนเป็นเพียงเรื่องแต่ง และในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากันแน่ จึงเป็นความเร่งด่วนตามที่ภัยคุกคามเรียกร้อง”
ทั้งแมคคาร์ธีและกัลลาเกอร์กล่าวว่าพวกเขาเชื่อว่าสหรัฐฯ อยู่ในสงครามเย็นกับจีน และวอชิงตันต้องตอบโต้ด้วยนโยบายแข็งกร้าวที่มุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจ สร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ และกล่าวหาว่าจีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและงานของสหรัฐฯ เพื่อให้ได้รับชัยชนะ
ในถ้อยแถลงหลังของเขา กัลลาเกอร์ชี้ว่าจีนเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อสหรัฐฯ พร้อมเสริมว่าคณะกรรมการชุดใหม่จะผลักดันกลับ ไปสู้การต้อสู้ในรูปแบบสองพรรค “ก่อนที่จะสายเกินไป”
สรุปว่ายุทธศาสตร์ปักหมุดศัตรูของสหรัฐ มองจีนเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งทั้งสองพรรค เพราะสมัยอดีตปธน.ทรัมป์ก็ไล่บี้จีนหนักมาก่อนหน้าการระบาดไวรัสโควิด-๑๙ ด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าไม่ว่าสหรัฐจะมีผู้นำเป็นพรรคเดโมแครตหรือรีพับลิกัน ก็จะต่อต้านจีนอย่างถึงที่สุดเหมือนกัน!!??