จากกรณีที่รัสเซียโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าและพลังงานของยูเครนได้รับความเสียหายกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนเป็นความตั้งใจของกองทัพรัสเซียที่จะสร้างความเสียหายต่อภาคพลังงานของยูเครนในขณะที่ฤดูหนาวมาเยือนแล้ว โดยก่อนหน้านี้นางโอเลนา เซเลนสกา สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของยูเครน คาดว่าชาวยูเครนอาจต้องเผชิญกับฤดูหนาวที่พวกเขาจะไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี โดยท่าทีของรัฐบาลยูเครน ได้พยายามขอร้องให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่บางแห่ง ซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่นโรงไฟฟ้าได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง แทนที่จะต้องทนใช้ชีวิตในช่วงฤดูหนาวที่นั่น นอกจากนี้รัฐบาลยังแนะนำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคเคอร์ซอนและมิโคลายีฟ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ย้ายไปอยู่ในพื้นที่ทางตอนกลางและทางตะวันตกของประเทศแทนด้วย
ต่อมายูเครน ออกตัวว่าจะสู้ศึกต่อ อ้างว่าจะขอแก้มือรัสเซียรอบที่ 6 เพราะสหรัฐฯ ให้ของดีมาเป็นตัวเปลี่ยนเกมรบ ซึ่งทำให้น่าจับตามองว่า อาวุธชนิดนี้จะพลิกสถานการณ์ในสมรภูมิได้หรือไม่ แต่ลึก ๆ ยูเครนก็ยังมีความหวังที่จะเจรจาจบสงคราม เนื่องจากการเมืองในประเทศกำลังตีกันเละ แบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่ายที่อยากเดินหน้าทำศึกต่อ กับฝ่ายที่อยากจบสงคราม ไม่อยากเผชิญความลำบากอีกแล้ว โดยมีตัวจุดชนวนคือสหรัฐฯ ที่ยังไม่ไฟเขียวให้ยูเครนเริ่มเจรจา แต่ล่าสุดดูเหมือนไบเดนจะเปลี่ยนใจอีกครั้ง
โดยมีข้อมูล ระบุว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้เปิดเผยถึงความตั้งใจพูดคุยกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มอสโกเปิดฉากรุกรานยูเครน หากว่าผู้นำรัสเซียต้องการยุติสงครามอย่างแท้จริง
ไบเดน กล่าวในเรื่องนี้ระหว่างที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส เดินทางเยือนสหรัฐฯ แบบรัฐพิธี ในขณะที่ผู้นำแดนน้ำหอม เผยเช่นกันว่าเขาจะพูดคุยกับปูตินอีกครั้ง หลังเสร็จสิ้นการเดินทางเยือนวอชิงตัน อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่ามันจะไม่ใช่การอ่อนข้อยอมทำตามความต้องการของประธานาธิบดีรัสเซีย
ระหว่างแถลงข่าวร่วมกับมาครง ประธานาธิบดีไบเดนระบุว่า เขายังไม่มีแผนติดต่อกับไบเดนในอนาคตอันใกล้นี้ แต่ไม่ปิดประตูสำหรับความเป็นไปได้ดังกล่าว “ผมพร้อมพูดคุยกับมิสเตอร์ปูติน ในข้อเท็จจริงที่ว่า หากเขาสนใจตัดสินใจมองหาหนทางสำหรับยุติสงคราม ซึ่งเขายังไม่ได้ทำอย่างนั้น”
“แต่ถ้าเป็นกรณีนั้น ในการปรึกษาหารือกับเพื่อนฝรั่งเศสและนาโต้ของผม ผมยินดีที่จะนั่งพูดคุยกับปูติน เพื่อดูว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่เขายังไม่ได้ทำเช่นนั้น” ไบเดนกล่าว
อย่างไรก็ตาม ทั้งไบเดน และมาครง ต่างประกาศกร้าวว่าจะให้การสนับสนุนยูเครนในระยะยาวในการสู้รบเพื่อขับไล่ผู้รุกรานรัสเซีย “มีหนทางหนึ่งที่สงครามนี้จะยุติลง หนทางที่เป็นเหตุเป็นผล ปูตินถอนกำลังออกจากยูเครน นี่คือหนทางหมายเลข 1 แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น”
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวต่อว่า “การทิ้งบอมบ์ถล่มสถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก โรงพยาบาล บ้านพักของเด็ก ๆ มันเป็นการกระทำที่ป่วยของเขา ความคิดของปูตินที่จะเอาชนะยูเครน เป็นเรื่องยากเกินกว่าจะเข้าใจ เขาคำนวณผิดพลาดทุกอย่างในสิ่งที่เขาคำนวณไว้ในทีแรก ครั้งที่รัสเซียระดมกำลังตามแนวชายแดนยูเครน ก่อนหน้าการเปิดฉากรุกรานในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ไบเดนและแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ต่างได้พูดคุยกับทางรัสเซีย และเตือนถึงผลสนองหากพวกเขาลงมือโจมตี”
เป็นที่ทราบว่า บลิงเคน มีโอกาสพูดคุยกับ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย หนหนึ่ง นับตั้งแต่มอสโกรุกรานยูเครน แต่มันเป็นการพูดคุยในกรอบแคบๆ ในเรื่องข้อเสนอขอให้ปล่อยตัวชาวอเมริกาที่ถูกคุมขัง
มาครง เผยว่าเขามีแผนพุดคุยกับปูติน โดยส่วนหนึ่งในนั้นจะเป็นการหารือกันเกี่ยวกับความปลอดภัยของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซาโปริซเซีย ที่อยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย ในยูเครน “ผมจะเดินหน้าพูดคุยกับประธานาธิบดีปูติน” มาครงกล่าว พร้อมเรียกร้องเดินหน้าความพยายามต่าง ๆ ในการป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายและเพื่อบรรลุผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับไบเดน ทางมาครงบอกว่าเขาจะไม่กดดันประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เข้าสู่แผนสันติภาพใดๆ ที่ผู้นำเคียฟไม่ยอมรับ “เราจะไม่มีทางเร่งเร้ายูเครนให้ยอมประนีประนอมในสิ่งที่พวกเขาไม่ยอมรับ”
มาครง กล่าวต่อว่า เซเลนสกี แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างแท้จริงในการแสวงหาสันติภาพ พร้อมระบุ “งานของเราคือ ต้องทำงานร่วมกับเขา”
นับตั้งแต่ยูเครนถูกรุกราน เซเลนสกี ยืนกรานมาตลอดว่ายูเครนจะทวงดินแดนทั้งหมดที่ถูกรัสเซียยึดไปคืนกลับมา
