ซ่านักจัดให้!! จีน-รัสเซียร่วมทัพฟ้าลาดตระเวนเฉี่ยวโสมขาว-ญี่ปุ่น ขณะโซลสุมหัวสหรัฐอัดจีนเซมิคอนดักเตอร์

0

แนวโน้มความคุกรุ่นในเอเชีย-แปซิฟิคชัดเจนขึ้นทุกวัน  เมื่อสหรัฐและนาโต้หันเหความกดดันเพิ่มขึ้นในย่านนี้  ล่าสุดกองทัพอากาศจีนและรัสเซียได้จัดการลาดตระเวนร่วมกันและแลกเปลี่ยนเครื่องบินรบกันเป็นครั้งแรก เพื่อแสดงความสัมพันธ์ด้านการป้องกันที่เพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดทางยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯและพวก

กระทรวงกลาโหมจีนระบุในถ้อยแถลงสั้น ๆว่า ทั้งสองประเทศ ทำการลาดตระเวนเชิงกลยุทธ์ร่วมกันทางอากาศเป็นประจำในน่านฟ้า เหนือน่านน้ำทะเลญี่ปุ่น ทะเลจีนตะวันออก และมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ไม่เกี่ยวกับประเทศที่สาม

ด้านคู่กรณีทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นออกอาการโวยวายรับลูกกันเป็นทอด กองทัพของเกาหลีใต้กล่าวว่าได้ส่งสัญญาณรบกวนเครื่องบินรบในวันพุธ ขณะที่เครื่องบินรบของรัสเซียและจีน เข้ามาในเขตป้องกันภัยทางอากาศของตนโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ส่วนกองทัพญี่ปุ่นกล่าวอีกว่าได้ส่งสัญญาณรบกวนเครื่องบินไอพ่นของรัสเซียและจีนเหนือทะเลญี่ปุ่น หรือทะเลตะวันออก ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

ขณะที่โวยวายต่อการลาดตระเวณของจีนและรัสเซีย เกาหลีใต้กับสหรัฐฯจัดหารือแผนขัดขาจีนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเกาหลีใต้ได้เข้าร่วมในพันธมิตรชิปโฟร์ต่อต้านจีนอย่างแข็งขัน

วันที่ ๒ ธ.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวซีบีเอสนิวส์และโกลบัลไทมส์ รายงานว่า จีนและรัสเซียส่งฝูงเครื่องบินรบทางยุทธศาสตร์ ซึ่งรวมถึงเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกล ตูโปเลฟ-๙๕(Tupolev-95) ออกปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนร่วมเหนือทะเลญี่ปุ่นและทะเลจีนตะวันออก ตามคำแถลงของกระทรวงกลาโหมรัสเซียเมื่อวันพุธที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา

กระทรวงกลาโหมรัสเซียเปิดเผยว่า เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ตู-๙๕ เอ็มเอส (Tu-95MS) ของรัสเซียหลายลำ รวมทั้งเครื่องบินขับไล่ซู-๓๐ เอสเอ็ม (Su-30SM) และซู-๓๕เอส (Su-35S) พร้อมด้วย เครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์เอช-๖เค (H-6K) ของจีนบินเหนือทะเลญี่ปุ่นและทะเลจีนตะวันออกระหว่างปฏิบัติภารกิจแปดชั่วโมง

Tu-95MS เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์รุ่นใหม่ และบรรทุกขีปนาวุธตูโปเลฟ ส่วนTu-95 ของกองทัพอากาศรัสเซีย มีความสามารถในการบรรทุกขีปนาวุธร่อนระยะไกลและเป็นเครื่องบินล่องหนที่ผลิตโดยรัสเซีย ทั้งนี้รัสเซียกล่าวว่าเครื่องบินรบของทั้งสองประเทศไม่ได้ละเมิดน่านฟ้าของรัฐต่างประเทศใดๆ 

ด้านกองทัพเกาหลีใต้ได้ประกาศส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นตามประกบ หลังจากที่พบว่าเครื่องบินรบจีน ๒ ลำ และเครื่องบินรัสเซียอีก ๖ ลำ ล่วงล้ำเข้าไปในเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (ADIZ) ของเกาหลีใต้บริเวณชายฝั่งตอนใต้และตะวันออกเฉียงเหนือตั้งแต่เวลา ๕.๕๐ น. ตามเวลาท้องถิ่น และกลับเข้าไปอีกครั้งในอีกหลายชั่วโมงถัดมา โดยใช้เวลาบินอยู่ในเขต ADIZ ของเกาหลีใต้ประมาณ ๑๘ นาที

แต่เกาหลีใต้ก็ยืนยันว่าฝูงบินของทั้ง ๒ ชาติยังไม่ได้มีการรุกล้ำน่านฟ้าของเกาหลีใต้แต่อย่างใด

อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลญี่ปุ่นออกมาแถลงในวันเดียวกันว่าโตเกียวได้แสดงความ “กังวลอย่างยิ่ง” ไปยังจีนและรัสเซียเกี่ยวกับภารกิจร่วมของกองทัพอากาศทั้ง ๒ ชาติที่เกิดขึ้นใกล้ๆ ดินแดนของญี่ปุ่น

ฮิโรคาซุ มัตสึโนะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุในถ้อยแถลงว่า “เราจะยังคงเฝ้าติดตามความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นระหว่างทั้งสองประเทศอย่างใกล้ชิด ด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจ”พร้อมย้ำว่าญี่ปุ่นจะใช้ “มาตรการที่เด็ดเดี่ยว” เพื่อปกป้องดินแดนของตนเอง

ท่ามกลางกระแสคุกรุ่นเหนือท้องทะเลจีนตะวันออก เกาหลีใต้กับสหรัฐฯ กำลังหารือการส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อขัดขวางการเติบโตในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง ขณะที่ญี่ปุ่นเปิดแผนจะประกาศให้จีนเป็นภัยคุกคามแบบเดียวกับที่สหรัฐประกาศมาก่อนหน้านี้

การประชุมคณะทำงานในกรอบการเจรจา Korea-U.S. Supply Chain and Commercial Dialogue (SCCD) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และกฎหมาย Chips and Science Act ของสหรัฐฯ ที่ให้สิทธิทางภาษีสำหรับการลงทุนด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐฯ โดยมีเงื่อนไขห้ามเข้าไปลงทุนธุรกิจรูปแบบเดียวกันในจีนเป็นระยะเวลา ๑๐ ปี ซึ่งเกาหลีใต้ยินยอมเดินตามวาระวอชิงตันอย่างเต็มที่ 

สถานการณ์แบบเดียวกันที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีท่าทีแสดง “ความกังวลอย่างรุนแรง” ต่อการลาดตระเวนทางยุทธศาสตร์ทางอากาศของจีน-รัสเซียในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก  นอกจากนี้ญี่ปุ่นมีแผนที่จะกำหนดให้จีนเป็นความท้าทายระดับภูมิภาคในยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติภายในสิ้นปี ๒๕๖๕ 

ผู้เชี่ยวชาญของจีนกล่าวว่า พฤติกรรมของญี่ปุ่นสะท้อนให้เห็นถึงการฉวยโอกาสทางการเมืองของโตเกียว ท่ามกลางสัญญาณเชิงบวกในความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น ในช่วงเวลาไม่นานมานี้ จีนเรียกร้องให้ญี่ปุ่นฟังเสียงที่มีเหตุผลภายในประเทศเกี่ยวกับจีน แทนที่จะติดตามสหรัฐฯ ในการต่อต้านจีนและจบลงด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายทั้งในประเทศญี่ปุ่นเองและภูมิภาค