ข่าวใหญ่ที่ทำให้ทั่วโลกใจระทึกเมื่อวานนี้ ก็คือกรณียูเครนยิงจรวด S-300 เข้าไปในโปแลนด์เพื่อจัดฉากว่ารัสเซียยิง เพื่อจะได้ลากนาโต้เาข้าร่วมทำสงครามกับรัสเซีย ประเด็นนี้อดีตผู้นำรัสเซียแฉแรงว่า เหตุการณ์การยิงขีปนาวุธตกในโปแลนด์กำลังนำโลกก้าวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๓ สงครามตัวแทนระหว่างชาติตะวันตกกับรัสเซียอาจนำโลกไปสู่หายนะเพราะรัสเซียคงไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว
ขณะที่ปฏิกิริยาของสหรัฐและนาโต้ต่อการระเบิดในโปแลนด์ ยอมรับเองว่ายูเครนทำ แต่พาลว่ารัสเซียต้องเป็นผู้รับผิดชอบอยู่ดี แสดงให้เห็นว่า ถ้าเป็นพวกเดียวกันทำอะไรก็ได้จะเลวร้ายแค่ไหนก็ไม่ต้องรับโทษ แต่ถ้าไม่ใช่พวกแล้วจะใส่ร้ายป้ายสีให้ผิดอย่างไรก็ทำได้ไม่ละอาย สะท้อนความเป็นจริงที่ว่าเมกากำลังยูเครนกำลังจนตรอก ปากว่าชนะและรู้ว่าแพ้จึงต้องลากนาโต้เข้ามาเอี่ยวเต็มที่ เรื่องนี้ไม่ใช่การจัดฉากโดยยูเครนฝ่ายเดียว เพราะมีการเรียกประชุมฉุกเฉินในเวทีจี-๒๐ และคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติทันที แต่แผนแตกเพราะซากอาวุธมันประจานเจ้าของ
โปแลนด์เองก็สรุปว่ายูเครนเป็นฝ่ายยิง ไบเดนก็ไม่คิดว่ารัสเซียยิง สรุปก็คือยิงในจังหวะที่นาโต้ยังไม่พร้อมจะทำสงครามใหญ่ แต่รัสเซียพร้อมมาก จึงไม่มีใครคิดว่ารัสเซียยิง เซเลนสกี้หน้าแหกไปแต่หันไปถล่มโรงพยาบาลในโดเนตสค์แทนอ้างแก้แค้น ทุกครั้งที่ยูเครนถล่มพลเรือนสื่อหลักตะวันตกจะเงียบกริบ
โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรว่าได้ออกมาให้สัมภาษณ์แบบแซะนิ่มๆ ว่า ‘ยูเครนอยากเข้าไปเป็นสมาชิกนาโต้มานาน บัดนี้ ได้เข้าร่วมในนาโต้แล้วด้วยการยิงจรวดเอส-๓๐๐ (S-300) เข้าไปถล่มพลเรือนโปแลนด์’
วันที่ ๑๗ พ.ย.๒๕๖๕ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์และทาซซ์ รายงานว่า ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า “เหตุการณ์ขีปนาวุธพุ่งใส่โปแลนด์ ทำลายชีวิตชาวบ้าน ๒ ราย เสี่ยงโหมกระพือความขัดแย้งครั้งใหญ่ระดับโลก หรือเป็นการกระตุ้นให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ ของผู้อยู่เบืองหลัง”
เมดเวเดฟ กล่าวอีกว่า “เหตุการณ์นี้พิสูจน์ว่า มันเป็นการทำสงครามลูกผสม หรือ hybrid war กับรัสเซีย ทำให้ตะวันตกขยับเข้าใกล้สงครามโลกมากขึ้นทุกที”
เป็นความเห็นที่สอดคล้องกับผู้แทนมอสโกว์ประจำสหประชาชาติ ที่เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นความพยายามยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียกับนาโต้
ดมิทรี โพลยานสกี รองผู้แทนของรัสเซียประจำสหประชาชาติ (Russia’s deputy representative to the UN, Dmitry Polyansky)ซึ่งระบุว่า “มีความพยายามอย่างที่สุดที่จะโหมกระพือการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างนาโต้กับรัสเซีย ซึ่งทั้งหมดจะก่อผลกระทบตามมาแก่ทั่วโลก”
ในการโพสต์ข้อความลงบนเทเลแกรม โพลยานสกี ระบุว่า มีข้อพิรุธหลายอย่าง ที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกร้องขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เลื่อนการประชุมมาเป็นวันพุธที่ ๑๖ พ.ย.นี้ โดยไม่ให้ได้เหตุผลใดๆ และประจวบเหมาะเหลือเกินที่คำกล่าวอ้าง “การโจมตีด้วยขีปนาวุธ” ใส่โปแลนด์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีการประชุมพอดี
เขาระบุว่า อีกบ่อเกิดแห่งความน่าสงสัยคือ คำกล่าวหาและข้อเรียกร้องให้ลงโทษรัสเซียครั้งนี้มาจากรัฐบาลยูเครน ภายใต้การสนับสนุนของโปแลนด์ ซึ่งคลุ้มคลั่งอยู่ก่อนแล้วจากอาการโรคเกลียดกลัวรัสเซีย
โพลยานสกี ชี้ว่าด้วยข้อเท็จจริงทั้งหมดบ่งชี้ว่ารัสเซียไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันจึงเป็นเรื่องน่าสนใจที่สหรัฐฯ และพันธมิตรดำเนินการอย่างไรที่จะหลุดจากคำครหา ระหว่างการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่กำลังมาถึง
เขากล่าว”ไม่อยากคิดเลยว่า พันธมิตรตะวันตกของเราจะยอมรับว่ายูเครนและโปแลนด์ มีบทบาทในการยั่วยุที่เป็นอันตรายครั้งนี้”
ปธน.เซเลนสกี แห่งยูเครน รีบเร่งออกมากล่าวโทษรัสเซียในทันที สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นวันอังคารที่ผ่านมา พร้อมเรียกร้องนาโต้ ซึ่งมีโปแลนด์เป็นชาติสมาชิก จัดการกับเหตุโจมตีความมั่นคงร่วมดังกล่าว และแม้ไม่มีหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนคำกล่าวอ้าง แต่มันถูกนำไปตีข่าวอย่างกว้างขวางในสื่อมวลชนโปแลนด์ และทั่วโลกรวมทั้งเจ้าหน้าที่โปแลนด์บางส่วน
วอร์ซอ ยังได้สั่งกองทัพยกระดับเฝ้าระวังขั้นสูง และบอกว่ากำลังหารือสำหรับใช้มาตรา ๔ ของสนธิสัญญานาโต้ ซึ่งกำหนดให้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับรัฐสมาชิกอีก ๒๙ ชาติที่เหลือ หากดินแดนหรือความมั่นคงกำลังถูกคุกคาม และตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เรียกว่ากระตุ้นความตื่นตระหนกอย่างเป็นกระบวนการก็ว่าได้
ไม่นานหลังจากนั้น ปธน.ไบเดน ของสหรัฐฯกลับปฏิเสธเฉย เขากล่าวกับผู้สื่อข่าวขณะเข้าร่วมการประชุมซัมมิตกลุ่ม จี-๒๐ ที่เกาะบาหลี ในอินโดนีเซียว่า ขีปนาวุธนี้อาจไม่ได้ยิงมาจากรัสเซีย
สำนักข่าวเอพีรายงานอ้างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 3 คน ระบุเช่นกันว่า ข้อมูลเบื้องต้นบ่งชี้ว่าแท้จริงแล้วขีปนาวุธเป็นของยูเครน โดยเป็นการยิงออกมาจากระบบป้องกันภัยทางอากาศของประเทศ ท่ามกลางการโจมตีขนานใหญ่ของรัสเซีย ที่เล็งเป้าเล่นงานโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน
วาซิลี เนเบนซี(Vasily Nebenzya)ทูตสหประชาชาติของรัสเซีย กล่าวว่าถ้อยแถลงที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างยิ่งของผู้นำทั้งสองประเทศนี้ไม่สามารถรับรู้ได้ในทางอื่น โปแลนด์และยูเครนพยายามจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและนาโต้ด้วยขีปนาวุธ
เจนส์ สโตลเลนเบอร์ก (Jens Stoltenberg) เลขาธิการนาโต้ ยอมรับว่าขีปนาวุธที่ยิงเข้าโปแลนด์เป็นฝีมือของยูเครน แต่ยูเครนเป็นมิตรกับนาโต้ แม้นจะยิงพลเมืองของนาโต้ตายก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ได้เจตนา ความผิดนี้ต้องยกให้รัสเซียเพราะรัสเซียไปถล่มยูเครน และเป็นเหตุให้ยูเครนต้องยิงขีปนาวุธป้องกัน
เลขาธิการนาโต้ ให้ความมั่นใจกับเพื่อนร่วมงานของเขาอย่างจริงจังว่ารัสเซียจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างอีกครั้ง และชาวยูเครนที่เป็นมิตร “ตั้งใจ” ฝ่าฝืนมาตรา ๕ ของกฎบัตรนาโต้ และสิ่งนี้จะ “ไม่นับ”เป็นโทษ

เพนตากอนก็ออกมาแถลงข่าวให้สัมภาษณ์แบบเดียวกันว่า ยูเครนเป็นฝ่ายยิงแต่รัสเซียต้องรับผิดชอบเพราะเป็นผู้ก่อสงครามกับยูเครน
เอาเข้าไปหมดความละอายแล้ว หมดศักดิ์ศรีแล้ว สำหรับมหาอำนาจเก่าอย่างสหรัฐและนาโต้พันธมิตรทางทหารที่วันนี้ไม่ต่างจากแก๊งอันธพาลโลก ทำเรื่องเลวร้ายซ้ำซากแล้วป้ายความผิดให้ฝ่ายตรงข้าม สงครามในยูเครนได้เปิดเผยหน้ากากตัวร้ายของสังคมโลกอย่างล่อนจ้อน!!??