รอยยิ้มซ่อนมีด!! สี จิ้นผิงจับมือไบเดนชื่นมื่นที่จี-๒๐ เมกาสัญญาแค่แข่งขันดุไม่มีรบ แต่คำถามไต้หวันยังปริ่มเส้นแดง

0

โลกนี้คือละคร การพบกันของสองผู้ยิ่งใหญ่จีนและสหรัฐมีแต่รอยยิ้มฉาบหน้ายิ่งกว่าภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ด คำพูดสวยหรูแพร่สะพัดหน้าสื่อหลักทั่วโลกว่า สหรัฐและจีนจะไม่ก่อสงครามทั้งสงครามเย็นและสงครามร้อน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือได้เพียงใด ท่ามกลางการประชุมครั้งสำคัญของเอเชีย ทั้งการประชุมอาเซียนที่กัมพูชา การประชุมจี-๒๐ ที่กำลังดำเนินอยู่ ล้วนตกอยู่ในบรรยากาศของการฟาดฟันศัตรูคู่แข่งของสหรัฐ และผู้ไม่ยอมสยบต่อวาระวอชิงตันทั้งสิ้น ก่อนปิดฉากอาเซียนสหรัฐ เกาหลีใต้และญี่ปุ่นแถลงข่าวยืนยันจะร่วมมือกดดันเกาหลีเหนือให้ถึงที่สุด ประหนึ่งประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือกลายๆด้วยข้อหายั่วยุ โดยไม่กลาวถึงพฤติกรรมท้าทายกระตุ้นความขัดแย้งของพันธมิตรทั้งสามในคาบสมุทรเกาหลีและทะเลจีนใต้ สหรัฐและเกาหลีใต้ซ้อมยิงขีปนาวุธ ซ่อมรบร่วมเดือนติดรั้วบ้านเกาหลีเหนือไม่ผิด สหรัฐประจำการเครื่องบินติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่ฐานทัพญี่ปุ่นก็ไม่ผิด แต่เกาหลีเหนือตอบโต้เป็นความผิด และสหภาพยุโรปรีบรับลูกคว่ำบาตรเกาหลีเหนือทันที

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้สหรัฐและพันธมิตรจากตะวันตก ร่วมกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กำลังซ้อมรบใหญ่ในน่านน้ำแห่งคาบสมุทรเกาหลีและทะเลจีนใต้ เป็นภาวะที่ช่างสวนทางกับรอยยิ้มของทั้งสองผู้นำยิ่งนัก

วันที่ ๑๕ พ.ย.๒๕๖๕ สำนักข่าวโกลบัลไทมส์รายงานว่า สี จิ้นผิง ปธน.จีนกล่าวระหว่างการประชุมกับปธน.โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซียเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “สถานะปัจจุบันของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ไม่อยู่ในผลประโยชน์พื้นฐานของทั้งสองประเทศและประชาชน และไม่ใช่สิ่งที่ประชาคมระหว่างประเทศคาดหวัง” เป็นการประชุมแบบเผชิญหน้ากันครั้งแรกระหว่างผู้นำของสองประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก นับตั้งแต่ไบเดนเข้ารับตำแหน่ง

ในระหว่างการประชุมซึ่งมีรายงานว่าใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง ๑๒ นาที สีบอกกับไบเดนว่าในฐานะผู้นำของ ๒ ประเทศหลัก พวกเขาจำเป็นต้องวางผังเส้นทางที่ถูกต้องและค้นหาทิศทางที่ถูกต้องสำหรับความสัมพันธ์ทวิภาคีและยกระดับความสัมพันธ์ สียังย้ำว่าทั้งสองประเทศควรใช้ประวัติศาสตร์เป็นกระจกเงาและปล่อยให้มันชี้นำอนาคตไปสู่ทิศทางที่พึงเป็น

ผู้นำทั้งสองเห็นว่าการประชุมเป็นไปในเชิงลึก ตรงไปตรงมา และสร้างสรรค์ และพวกเขาได้สั่งให้ทีมงานของทั้งสองประเทศติดตามฉันทามติสำคัญที่ผู้นำทั้งสองบรรลุถึง เพื่อดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อผลักดันความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ให้กลับมาเหมือนเดิม สู่เส้นทางที่มั่นคงสำหรับการพัฒนา และผู้นำทั้งสองตกลงที่จะติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง

ด้านทำเนียบขาวเปิดเผยต่อสื่อตะวันตกว่า “ปธน.สหรัฐฯได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในจีน และบอกกับสีว่านโยบายของสหรัฐฯ ที่มีต่อไต้หวันไม่ได้เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เขาคัดค้านการกระทำที่บีบบังคับและก้าวร้าวมากขึ้นของปักกิ่ง และหยิบยก “แนวทางปฏิบัติทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นไปตามกลไกตลาดของจีนขึ้นมา Biden ยังประณามเกาหลีเหนือและย้ำ“ความมุ่งมั่นที่แข็งกร้าว” ของเขา ในการปกป้องพันธมิตรใน“อินโด-แปซิฟิก”

นักวิเคราะห์ชาวจีนกล่าวว่า “ตามรายงานของทำเนียบขาว ไบเดนยังคงแข็งกร้าวในหัวข้อที่เป็นกิจการภายในของจีน รวมถึงไต้หวัน ฮ่องกง ซินเจียง และซีซางหรือทิเบต  นั่นสะท้อนว่า สหรัฐฯล้มเหลวในการตระหนักถึงการใช้กลยุทธ์แบบฝ่ายเดียว อย่างหยิ่งยโส และเป็นปรปักษ์กับจีน ทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีมีความเสี่ยงที่จะลุกลามจนเกินการควบคุม และนำไปสู่ความขัดแย้งโดยตรง และในอนาคต ความเสี่ยงของการเผชิญหน้าระหว่างสองประเทศใหญ่” 

สีกล่าวว่า “ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ไม่ควรเป็นเกมที่ผลรวมเป็นศูนย์ โดยที่ฝ่ายหนึ่งจะแย่งชิงหรือเติบโตโดยแลกกับค่าใช้จ่ายของอีกฝ่าย  ความสำเร็จของจีนและสหรัฐฯ เป็นโอกาส ไม่ใช่ความท้าทายซึ่งกันและกัน โลกนี้ใหญ่พอที่ทั้งสองประเทศจะพัฒนาตนเองและเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกันได้”

จิน แคนหรง(Jin Canrong) รองคณบดี School of International Studies ที่ มหาวิทยาลัยเหรินหมิน(Renmin University of China) กล่าวว่า “สหรัฐฯ จะยังคงยั่วยุจีนเกี่ยวกับคำถามของไต้หวันต่อไป  หลังจากการเลือกตั้งกลางภาค พรรครีพับลิกันจะเข้าชิงสภา และ ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ของพรรครีพับลิกันมักจะติดตามสิ่งที่เปโลซีทำในการเยือนเกาะนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพรรครีพับลิกัน มีความกล้าที่จะแข็งกร้าวต่อจีนเพื่อรักษาคะแนนนิยม”

สหรัฐยังคงปากหวานก้นเปรี้ยวไม่เปลี่ยนแปลง และยังคงแสดงความแข็งกร้าวในเนื้อหาโดยไม่สนใจด้านความต้องการของจีนแต่อย่างใด ท่าทีของผู้นำจีนก็เป็นไปตามคาดหวังที่เน้นความยืดหยุ่นไม่ปะทะ แต่ทุกอย่างย่อมต้องติดตามดูการเคลื่อนไหวที่เป็นจริงในพื้นที่  จุดวาบไฟคาบสมุทรเกาหลีและไต้หวันที่ใกล้เป็นสนามรบถูกกระตุ้นตลอดเวลา สวนทางคำพูดหลักการของไบเดน ไม่ว่าผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐจะออกมาเป็นอย่างไร ยุทธศาสตร์สหรัฐยังคงพุ่งเป้าต่อต้านจีนอย่างไม่ลดละ คงต้องจับตาว่าจะเกิดเซอร์ไพรซ์อะไรหลังการประชุมสำคัญทั้งการประชุมจี-๒๐ในอินโดนีเซียและการประชุมเอเปคในไทยผ่านพ้นไป!!??