ขณะที่สหรัฐกำลังหมกมุ่นกับการคิดค้นวิธีการต่อต้านอิทธิพลจีนอย่างเอาจริงเอาจังในเอเชีย-แปซิฟิก จีนกลับกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ ‘ซีกโลกของวอชิงตัน’ อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อปรากฏว่า หลายประเทศในละตินอเมริกาพบว่าแนวทางของปักกิ่งนั้นน่าสนใจ และเปิดรับการลงทุนจากจีนอย่างไม่หวั่นไหวกับกระแสหวาดวิตกจีนจะครอบงำผ่านหนี้สินก้อนโตผ่านโครงการหนึ่งแถบและเส้นทางหรือ Belt and Road
วันที่ ๑๓ พ.ย.๒๕๖๕ นิตยสารฟอร์บส(Forbes) เผยแพร่บทความวิเคราะห์บทบาทของจีนในละตินอเมริกา ระบุว่า“รายชื่อการรุกคืบในละตินอเมริกาของจีนนั้นทั้งยาวนานและโดดเด่น” แต่วอชิงตันยังไม่อาจจัดการตอบโต้ได้มากนัก ในช่วง ๒๑ ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่จีนเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) “การค้าของจีนกับละตินอเมริกาเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย ๓๑% อย่างโดดเด่นในแต่ละปี คิดเป็นประมาณ ๔๕๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ต่อปี”
ปัจจุบันจีนเป็น“คู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอเมริกาใต้และเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกาในการลงทุนและค้าขายกับละตินอเมริกาทั้งหมด “ได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับ ๓ ประเทศคือ ชิลี คอสตาริกา และเปรู และเริ่มการเจรจากับเอกวาดอร์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีแนวโน้มว่าจะได้ลงนามสัญญากันอีกเร็วๆนี้”
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในภูมิภาคซึ่ง สหรัฐฯได้ใช้อำนาจครอบงำทุกอย่าง เป็นเวลาเกือบ ๒๐๐ ปีแล้วที่สหรัฐอเมริกาครอบงำอเมริกาละตินอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักด้านความมั่นคงและนโยบายต่างประเทศภายใต้สิ่งที่เรียกว่าลัทธิมอนโร ในการทำเช่นนั้น มันได้ก่อให้เกิดสงคราม การรัฐประหาร และการแทรกแซงทางการเมืองในรูปแบบอื่นๆอย่างต่อเนื่อง
แต่ปัจจุบันนี้ไม่สามารถหยุดประเทศในภูมิภาคนี้จากการโน้มเอียงไปทางจีน การครอบงำของอเมริกาไม่ได้ทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองหรือความมั่นคงสำหรับประเทศในละตินอเมริกาในทางปฏิบัติ แต่มันหมายถึงความยากจน ความไม่เท่าเทียมกัน และความโกลาหลแบบเดียวกับสภาพในตะวันออกกลาง ที่อเมริกาก้าวเข้าไปเกี่ยวพัน ในขณะที่ปักกิ่งไม่มีแผนที่จะ ‘ครอบงำทางการเมือง’ ในละตินอเมริกา ความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองภูมิภาคของโลกเป็นผลพวงของทวีปอเมริกาใต้ที่ถูกทำลายโดยเสรีนิยมใหม่อันโหดร้ายมานานหลายทศวรรษ
รัฐบาลฝ่ายซ้ายเข้าสู่อำนาจในประเทศมากขึ้น ประธานาธิบดีคนใหม่ของบราซิล ลูลาอดีตพันธมิตรชิดใกล้ปูติน เป็นเพียงตัวอย่างล่าสุด และเขาได้เข้าดูแลประเทศ ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับจีนในฐานะส่วนหนึ่งของBRICSอย่างก้าวกระโดดมากขึ้นกว่าผู้นำคนเก่า
สำหรับประเทศในละตินอเมริกา สหรัฐอเมริกาไม่ใช่ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลที่มีเมตตาแต่เป็นหุ้นส่วนที่สนใจแต่ผลประโยชน์ของตนเอง ความพยายามของสหรัฐในการยึดอำนาจการนำในซีกโลกตะวันตกท้้งหมด ซึ่งเจ้าหน้าที่อเมริกันมักใช้คำเรียกว่า”ตะวันตกของเรา” และความเชื่อที่ว่า ทุกสิ่งต้องให้เหมาะกับสหรัฐฯ เพื่อนบ้านควรอยู่อย่างยากจน แตกแยก และอ่อนแอต่อไป ตัวอย่างเช่น บราซิลไม่เคยได้รับอนุญาตให้ผงาดขึ้นและกลายเป็นรัฐที่มั่งคั่งที่สามารถท้าทายอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารของสหรัฐฯได้ อเมริกาใต้ยังใช้ละตินเป็น ‘หนูตะเภา’ สำหรับการแสวงประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และการบังคับใช้ลัทธิหัวรุนแรงในตลาดเสรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษ ๑๙๘๐ กับ IMF
นี่เป็นข้อได้เปรียบสำหรับบริษัทยักษ์อเมริกัน ที่จะครอบงำและทุนทำให้เศรษฐกิจท้องถิ่นไม่สามารถพัฒนาหรือแข่งขันได้อย่างแท้จริง การขาดโอกาสในชีวิตทำให้เกิด ‘สมองไหล’ ของผู้มีความสามารถที่อพยพมายังสหรัฐอเมริกา
Forbes กล่าวต่อไปว่า “นอกเหนือจากการให้เงินกู้โดยตรงแก่รัฐบาลแล้ว การลงทุนของจีนส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นที่การพัฒนาพลังงาน การกลั่นน้ำมัน และการผลิตไฟฟ้า “ปัจจุบัน Power China มีโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ ๕๐ โครงการใน ๑๕ ประเทศในละตินอเมริกา” เนื่องจากสหรัฐฯ จัดให้จีนเป็นคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์อันดับหนึ่ง จีนจึงพยายามจัดหา”ทางเลือก”ให้กับโครงการ Belt and Road มาเป็นเวลานาน โดยให้คำมั่นว่าจะลงทุนหลายพันล้านในโครงสร้างพื้นฐานในประเทศกำลังพัฒนา อาร์เจนตินาเป็นประเทศละตินอเมริกาล่าสุดที่เข้าร่วม Belt and Road โดยได้เข้าร่วมเมื่อต้นปีนี้ หนึ่งในโครงการสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะทำงานร่วมกันคือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ทางเลือกที่เสนอโดยสหรัฐอเมริกาและประเทศ G7 อื่น ๆ ส่วนใหญ่เป็นเชิงโวหาร พึ่งพาเจตจำนงที่ดีของภาคเอกชนมากเกินไป และทำการตลาดภายใต้วัฏจักรการวาทศิลป์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด จาก “เครือข่ายของอเมริกาจะสร้างให้ดีขึ้นกว่าเดิม”สู่ “ หุ้นส่วนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนระดับโลก ” มีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อเมื่อเวลาผ่านมานาน ในขณะที่โครงการ Belt and Road เป็นวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมและมีรายละเอียดชัดเจน โดยมีความสม่ำเสมอในสิ่งที่ต้องการบรรลุ จีนสามารถทำการตลาดได้เปรียบ ในขณะที่สหรัฐฯ ไม่มีแรงจูงใจ หรือวิสัยทัศน์อื่นใดนอกจากการต่อต้านสิ่งที่จีนกำลังทำอยู่ ดังนั้นจึงไม่เคยมีกรณีที่น่าสนใจสำหรับประเทศในละตินอเมริกาที่จะยุติการเป็นพันธมิตรกับปักกิ่ง ไม่ต่างอะไรก้บที่อินเดียหลงรักรัสเซียอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
จากข้อมูลข้างต้น หากสหรัฐฯ จริงจังกับการแข่งขันกับจีนในละตินอเมริกา ก็ควรพยายามให้การแทรกแซงทางการเมืองน้อยลงและลงทุนสร้างการพัฒนาเพื่อนบ้านให้มากขึ้น สองศตวรรษของการแทรกแซงและการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศละตินที่สหรัฐฯเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ได้ทำให้ทวีปเจริญรุ่งเรืองหรือเป็นที่พอใจ แต่ได้ทิ้งเศรษฐกิจที่ซบเซาที่ไม่เคยก้าวข้ามสิ่งที่เรียกว่า ‘กับดักรายได้ปานกลาง’ อันเนื่องมาจากระบบการเมืองและเศรษฐกิจที่เกาะติดกับสหรัฐฯหรือในกรณีของคิวบาและเวเนซุเอลา ถูกคว่ำบาตรอย่างต่อเนื่องมา ๓๐ ปีแม้มีการเรียกร้องจากสหประชาชาติให้เลิกคว่ำบาตร สหรัฐก็เพิกเฉย
ปักกิ่งเสนอทางเลือกที่แข็งแกร่งและสม่ำเสมอเป็๋นรูปธรรม ซึ่งมาพร้อมกับการเข้าถึงตลาด การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และแผนสำหรับอนาคต มันจึงยากที่จะโต้แย้งหรือปฏิเสธ สหรัฐคงต้องเหนื่อยและกังวลมากขึ้นสำหรับหลังบ้านที่ประมาทมาตลอดว่าเป็นของตาย!!??