เลือกตั้งสหรัฐส่งผลไปหนาวจัดที่ยูเครน เมื่อคลื่นสีแดงของทรัมป์และรีพับลิกันกำลังพัดพาเดโมแครตให้จมหายในสภาล่าง นั่นเป็นสัญญาณการเมืองภายในประเทศจะคุกรุ่น ย่อมส่งผลต่อนโยบายการสนับสนุนต่อยูเครน
สหรัฐฯ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับความโกลาหลและความแตกแยกที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มสูงที่จะกระตุ้นกระบวนการถอดถอนปธน.โจ ไบเดน หากพวกเขาสามารถแย่งชิงอำนาจในสภาผู้แทนราษฎร ผู้เชี่ยวชาญจีนมองว่า ชาวอเมริกันจะสิ้นสุดการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งกลางเทอมในวันอังคารนี้ ตามเวลาท้องถิ่น ท่ามกลางบรรยากาศการแข่งขันอันดุเดือดของาสองพรรคใหญ่ ที่ต่างจุดยืนทั้งในนโยบายต่างประเทศและในประเทศ

การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการวอร์มอัพสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี ๒๐๒๔ ไม่เพียงแต่จะพลิกโฉมสมดุลของอำนาจของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อโลก และสงครามยูเครน ผู้เชี่ยวชาญของจีนเตือนว่าฝ่ายบริหารของไบเดนมีแนวโน้มที่จะปรากฏตัวในเวทีระหว่างประเทศมากขึ้น และยังคงเผชิญหน้าและกดดันจีนต่อไปหลังจากความคับข้องใจในสภาคองเกรสผ่านไป
ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองหลายคนคาดการณ์ว่า รีพับลิกันจะชนะอย่างน้อยในสภาล่าง ผู้ลงคะแนนได้ลงคะแนนเสียงไปแล้วกว่า ๔๒ ล้านใบ เมื่อเย็นวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ รัสเซียมองผลเลือกตั้งสะท้อนความล้มเหลวของไบเดน อารมณ์เดียวกับชาวพรรคเดโมเครตที่สะท้อนเบื่อหน่ายความไร้ประสิทธิภาพของไบเดนและโอกาสที่จะกลายเป็นภาระเมื่อถูกฟ้องร้อง ทั้งประเด็นการเมืองและผลประโยชน์แอบแฝงกับลูกชาย ส่อเค้าจะไม่ส่งลงชิงตำแหน่งปธน.ในอีกสองปีข้างหน้า
วันที่ ๑๐ พ.ย.๒๕๖๕ สำนักข่าวสปุ๊ตนิกและโกลบัลไทมส์รายงานว่า การเลือกตั้งกลางภาคของสหรัฐ ปรากฎผลว่าพรรคเดโมแครตจะสูญเสียเสียงข้างมากในสภาล่างแน่ ผู้สังเกตการณ์ในสหรัฐฯ ยอมรับว่าเดโมแครตหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า เดมส์(Dems)ดูเหมือนจะหนักใจ และวิตกกังวลกับความผิดพลาดทางการเมืองของโจ ไบเดนซึ่งเสี่ยงกลายเป็นภาระของเดมส์ หลังรีพับลิกันหรือ จีโอพี (GOP) ได้ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าแนวโน้มวุฒิสภาจะยังเป็นของเดมส์อยู่ก็ตาม
Dems มากกว่าครึ่งไม่เห็นด้วยกับการเสนอไบเดนชิงตำแหน่งปธน.ในการเลือกตั้งใหม่ปี ๒๐๒๔ ตามผลสำรวจของอิปซอส (Ipsos) เดือนตุลาคม นอกจากนี้ สื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ ยอมรับในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า เดมส์ไม่ได้โฆษณาไบเดนในการหาเสียงระยะกลาง และส่วนใหญ่ไม่มีชื่อในเว็บไซต์หาเสียงและบัญชี Twitter ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต นอกจากนี้ในรัฐสมรภูมิสำคัญไม่ได้ขอให้ไบเดนกลับมา
โดยรวมแล้ว พรรคเดโมแครตมีเหตุผลที่ดีที่จะไม่พอใจกับไบเดน เนื่องจากการถอนตัวจากอัฟกานิสถานอย่างไม่เรียบร้อย ราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นเอาไม่อยู่ อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยังไม่คลี่คลาย และความล้มเหลวของประธานาธิบดีในการทำตามคำสัญญาที่กล้าหาญของเขาในการเลือกตั้ง หลายประเด็น สร้างความไม่พอใจให้กับสาธารณะชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนเดโมแครตหรือรีพับลิกัน ข้อเสนอที่สำคัญของไบเดน ส่วนใหญ่หยุดชะงักในวุฒิสภาสหรัฐฯทั้งๆที่เดโมแครตได้เปรียบ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของพรรค
อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไบเดนไม่เป็นที่โปรดปรานแม้แต่ผู้สนับสนุนพรรค เมื่อเขาลงนามในกฎหมายว่าด้วยการลดอัตราเงินเฟ้อ (IRA) ซึ่งกำหนดให้ที่ดินต้องเปิดสำหรับการผลิตน้ำมันและก๊าซ เพื่อแลกกับการอนุญาตให้เช่าใหม่สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียน ไบเดนถูกบังคับให้สนับสนุนนโยบายสีเขียวและวาระการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเนื่องจากวิกฤตพลังงานและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และที่สำคัญได้ไปรับปากในเวทีระดับโลกว่า สหรัฐจะเป็นแกนนำลดโลกร้อน ทั้งๆความจริงยังทำไม่ได้
กลุ่มเดโมแครตที่มองว่าตัวเองเป็นพวกหัวก้าวหน้าของสภาคองเกรส ได้พยายามกดดันไบเดนให้เริ่มสร้างสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซีย แม้ว่าในเวลาต่อมาพวกเขาจะถอนจดหมายเรียกร้องนั้นต่อประธานาธิบดีแล้ว แต่ความรู้สึกต่อต้านสงครามของพวกเขายังคงมีอยู่
การเลือกตั้งกลางภาคปี ๒๐๒๒ ยังไม่จบ แต่สื่อที่เอียงซ้ายของสหรัฐฯ The House ประกาศต้อนรับผู้มาใหม่จากรีพับลิกันคึกคัก โดยมีแมกซ์เวลล์ ฟรอส (Maxwell Frost) จากฟลอริดา, ดาเลีย รามิเรส(Delia Ramirez) แห่งอิลลินอยส์ , เกรก คาซาร์(Greg Casar) แห่งเท็กซัสและ ซัมเมอร์ ลี (Summer Lee) จากเพ็นซิลเวเนีย ที่ชนะการแข่งขันในสภาล่าง ” ทีมหัวเห็ดของรีพับลิกัน“กำลังอยู่ในระหว่างการสร้างกลุ่มที่แข็งแกร่งไว้ซัดกับเดมส์ในสภา สื่ออเมริกันสันนิษฐานว่างานนี้ เดโมแครตและไบเดนมีหนาว?
การมารวมตัวกันของผู้ที่ไม่พอใจ, พวกหัวก้าวหน้า, พวกกระหายการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันทันที มารวมกับรีพับลิกันที่รอแก้แค้น น่าจะส่งเสียงกริ่งเตือนปธน.อายุ ๗๙ ปีและเดโมแครตถ้าจะส่งเขาชิงชัยอีกว่า นับแต่นี้อะไรๆจะไม่ราบรื่นตามเป้าหมายของเดโมแครตอีกต่อไป
ท่ามกลางความโกลาหลในประเทศของสหรัฐฯ พันธมิตรของสหรัฐฯ บางรายได้แสดงความกังวลต่อผลกระทบจากกระแสโลกที่ล้นหลามเพราะคลั่งระบอบประชาธิปไตยที่เปราะบางและไม่มั่นคงของอเมริกา
เจแปนไทมส์อ้างอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลโตเกียว ระบุว่า ขณะนี้สหรัฐฯ ถึงคราวที่จะขาดเสถียรภาพ ขาดความต่อเนื่อง และความสามารถในการคาดการณ์ ซึ่งหมายความว่าญี่ปุ่นจำเป็นต้อง “ว่องไว ยืดหยุ่น และปรับตัวได้” “คนญี่ปุ่นจำนวนมากกำลังตั้งคำถามว่าอเมริกาจะยังพึ่งพาเป็นแบบอย่างของโลกต่อไปได้หรือไม่” ในขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นเองยังคงแสดงบทบาทเคลื่อนไหวเป็นแกนนำ ตัวแทนผลประโยชน์สหรัฐในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกอย่างเอาการเอางาน???