บรรยากาศคุกรุ่นในคาบสมุทรเกาหลีนับวันเคร่งเครียดและเขม็งเกลียวมากยิ่งขึ้น ล่าสุดกองทัพเกาหลีเหนือได้ออกแถลงการณ์ ถึงการทดสอบขีปนาวุธชุดล่าสุดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกจำลองการโจมตีเป้าหมายเกาหลีใต้และสหรัฐฯ โดยใช้อาวุธยุทโธปกรณ์หลากหลาย ซึ่งรวมถึงอาวุธที่สามารถใช้นิวเคลียร์ได้ เป็นการแถลงข่าวที่ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมของเปียงยาง ว่าที่ยิงทดสอบขีปนาวุธเป็นชุดเพื่อตอบโต้ต่อพฤติกรรมซ้อมรบใหญ่ยั่วยุ ของสหรัฐและพันธมิตร ทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นในคาบสมุทรเกาหลี ต่อเนื่องกับทะเลจีนใต้ ซึ่งเกาหลีใต้ถือเป็นภัยคุกคามมีท่าทีเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย
วันที่ ๘ พ.ย.๒๕๖๕ สำนักข่าวเกียวโดนิวส์และสื่อทางการเปียงยาง แถลงการณ์ว่าการยิงขีปนาวุธเป็นการตอบโต้การซ้อมรบร่วมครั้งใหญ่วิจิแลนต์ สตอร์ม (Vigilant Storm) ของกรุงโซลและวอชิงตัน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคมถึง ๕ พฤศจิกายน กองทัพเกาหลีเหนือบรรยายการซ้อมรบที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาครั้งนี้ว่า เป็น“การกระทำที่ยั่วยุโดยจงใจทำให้ความตึงเครียดรุนแรงขึ้นในภูมิภาค”และ“เป็นการซ้อมรบที่อันตรายที่มุ่งเป้าไปที่เกาหลีเหนือโดยเฉพาะ”
เจ้าหน้าที่กองทัพประชาชนเกาหลีกล่าวว่าไม่สามารถมองข้าม”ธรรมชาติที่ก้าวร้าวของการฝึกซ้อมและการแสดงกำลังของตนเองฝ่ายสหรัฐและเกาหลีใต้ติดรั้วบ้าน
ระหว่างวันที่ ๒-๕ พฤศจิกายนที่ผ่านมา เกาหลีเหนืออ้างว่าได้ส่งเครื่องบินขับไล่จำนวน ๕๐๐ ลำ ยิงกระสุนปืนใหญ่หลายร้อยนัดลงทะเล และปล่อยจรวดหลายสิบลูก รวมทั้งขีปนาวุธทางยุทธวิธีระยะสั้น ที่บรรจุหัวรบไว้สำหรับ”การกระจายและการแทรกซึมใต้ดิน” ”ซึ่งมีรายงานว่าบางส่วนตกลงบนเกาะที่ไม่มีคนอาศัยอยู่
เปียงยางกล่าวว่า “การซ้อมรบเหล่านี้มีขึ้นเพื่อจำลองการโจมตีฐานทัพอากาศของศัตรู ทำลายเครื่องบินที่เป็นศัตรู เช่นเดียวกับในเมืองใหญ่ของเกาหลีใต้ เพื่อ”ทำลายการยั่วยุให้เกิดสงครามของศัตรู”
การซ้อมรบ ‘Vigilant Storm’ ในปีนี้ที่ดำเนินการโดยสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ที่ขนเครื่องบินทหารจำนวน ๒๔๐ ลำเข้าร่วม และกลายเป็นการซ้อมรบที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา อ้างจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ การฝึกซ้อมร่วมกันในขั้นต้นถูกกำหนดให้มีผลจนถึงวันที่ ๔พฤศจิกายน แต่ขยายออกไปอีกวัน ทำให้เกิดการประท้วงที่รุนแรงจากเปียงยาง ซึ่งเรียกการตัดสินใจนี้ว่า “เป็นความผิดพลาดที่ไม่อาจเพิกถอนได้และร้ายแรง”
ด้านเกาหลีใต้ เสนาธิการร่วมของโซลกล่าวเมื่อวันอังคารว่าได้กู้คืนชิ้นส่วนของขีปนาวุธพิสัยใกล้ (SRBM) ที่เกาหลีเหนือทดสอบยิงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นอาวุธที่ถือว่าข้ามเส้น Northern Limit Line หรือ NLL ซึ่งเป็นแนวกั้นในทะเลเหลืองที่โซลรับรอง แต่เปียงยางไม่รับรองว่าเป็นพรมแดนทางทะเลระหว่างสองเกาหลี
เนื่องจากขีปนาวุธข้าม NLL ซึ่งเป็นแนวที่กำหนดโดย UN ซึ่งขยายพรมแดนเขตปลอดทหาร (DMZ) ทางบก ปธน. ยุน ซุก-ยอล แห่งเกาหลีใต้จึงถือว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็น “การบุกรุกอาณาเขต”
ขีปนาวุธตกห่างจากชายฝั่งประมาณ ๔๐ ไมล์ นอกน่านน้ำของเกาหลีใต้ พอสื่อถามว่าทำไมไม่ยิงสกัด โฆษกจึงยอมรับว่า “พูดตามตรง มันไม่ได้เป็นพื้นที่ในอาณาเขตของเรา แต่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภายใต้เขตอำนาจศาลของเรา ดังนั้นจึงไม่ถูกสกัดกั้น”
นั่นคือ เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธที่อยู่นอกน่านน้ำเกาหลีใต้แต่สหรัฐและเกาหลีใต้โวยวายให้ดูเหมือนว่าเปียงยางจงใจละเมิดและบุกรุกอาณาเขต สื่อกองเชียร์รีบรายงานโดยไม่บอกให้ครบ สร้างความชอบธรรมให้สหรัฐและพวกก่อกวนยั่วยุเกาหลีเหนือต่อไป และหนักขึ้นไปพร้อมๆกับกวนน้ำในขุ่นต่อเนื่องเรื่องไต้หวัน
ล่าสุดกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น(MSDF) ได้จัดให้มีการสวนสนามกองเรือรบระหว่างประเทศ โดยมีกองทัพเรือเกาหลีใต้เข้าร่วมในวันอาทิตย์ ที่ผ่านมา มีเรือรบ ๑๘ ลำจาก ๑๒ ประเทศ รวมทั้งออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเครื่องบินรบของฝรั่งเศส และสหรัฐฯ รวม ๖ ลำเข้าร่วม
เรือและเครื่องบินจำนวนมากรวมตัวกันที่อ่าวซางามิ นอกจังหวัดคานากาวา โดยมีนายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น เป็นประธานพิธีตรวจพลกองเรือ
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ญี่ปุ่นไม่สามารถยอมรับการรุกรานยูเครนของรัสเซียโดยกล่าวว่า “ความพยายามฝ่ายเดียวในการเปลี่ยนแปลงสถานะที่เป็นอยู่ด้วยกำลัง เช่น การรุกรานยูเครน จะต้องไม่เป็นที่ยอมรับในส่วนใดของโลก”
คิชิดะ ไม่ได้กล่าวถึงจีนโดยตรง เพียงกล่าวว่า “สภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงรอบๆ ประเทศของเรา รวมทั้งทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว” โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามใดๆ และให้คำมั่นว่าจะเพิ่มกำลังรบขึ้นอีกเพื่อขยายขีดความสามารถในการป้องกันของญี่ปุ่น
มุมมองของสื่อหลักส่วนใหญ่ สะท้อนความจริงด้านเดียวจากสหรัฐและพันธมิตรซึ่งปั่นให้คาบสมุทรเกาหลีเดือดระอุ วันนี้ปัญหาในเอเชียไม่ใช่ปัญหาความขัดแย้งภายในภูมิภาคอีกต่อไป แต่ถูกลากดึงให้ไปเกี่ยวกับพันธมิตรกลุ่มแองโกลแซกซอนจากยุโรป และพันธมิตรควอดที่มีญี่ปุ่นเป็นแกนนำที่เปรียบเสมือนเอเย่นตัวแทนของสหรัฐฯ จุดวาบไฟในเอเชียแปซิฟิกได้ปะทุขึ้นแล้วด้วยความย่ามใจของสหรัฐฯ!!??