คาบสมุทรเกาหลีตึงเครียดหนัก หลังสหรัฐและเกาหลีใต้ประกาศต่อเวลาซ้อมรบทั้งที่เกาหลีเหนือส่งสัญญาณเตือนให้เลิกยั่วยุซ้อมรบหน้าบ้านเขาต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์ ล่าสุดเมื่อไม่ฟังคิมไม่ยอมจำนน ส่งเครื่องบินรบ ๑๘๐ ลำเฉียดเส้นแบ่งแดน ทำให้เกาหลีใต้เร่งสกัด ส่งอากาศยานและเครื่องบินขับไล่ เอฟ-๓๕ อวดศักดาว่ามีขาใหญ่หนุน สถานการณ์ระอุร้อนบ่งบอกว่าไม่มีใครยอมใคร ทำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกคุกรุ่น รับการประชุมสำคัญจี-๒๐ ที่อินโดนีเซียและเอเปคที่ประเทศไทย
วันที่ ๕ พ.ย.๒๕๖๕ สำนักข่าวอัลจาซิราและยอนฮับของเกาหลีใต้รายงานว่าสำนักงานคณะเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้ออกแถลงการณ์ เรื่องการตรวจพบอากาศยานทางทหารของเกาหลีเหนือรวมประมาณ ๑๘๐ ลำ บินอยู่ห่างออกไปประมาณ ๒๐ กิโลเมตร จากเส้นแบ่งเขตแดนทางทหาร “เอ็มดีแอล” (Military Demarcation Line – MDL) ขณะที่กองทัพอากาศของเกาหลีใต้ ส่งเครื่องบินประมาณ ๘๐ ลำ รวมถึงเครื่องบินขับไล่เอฟ-๓๕ ขึ้นประกบ ทำได้แค่เลาะชายแดนบนน่านฟ้า
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของเกาหลีเหนือ นับเป็นครั้งที่สองต่อจากเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเครื่องบินรบของเกาหลีเหนือประมาณ 10 ลำ บินผ่านแนวเอ็มดีแอล และกองทัพอากาศของเกาหลีใต้ต้องส่งอากาศยานขึ้นสกัด และเกิดขึ้นหลังสหรัฐและเกาหลีใต้ ขยายระยะเวลาการซ้อมรบทางอากาศร่วมกัน ภายใต้รหัสปฏิบัติการ “วิจจิแลนท์ สตอร์ม” (Vigilant Storm) ซึ่งตามกำหนดจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ ๑-๔พ.ย. นี้ ออกไปเป็นจนถึงวันเสาร์ที่ ๕ พ.ย.นี้
สำนักข่าวกลางเคซีเอ็นเอเกาหลีเหนือ วิจารณ์ว่า “เป็นการตัดสินใจที่ยั่วยุและผิดพลาด” ก่อนหน้านี้เกือบทั้งเดือนสหรัฐและเกาหลีใต้ก็ซ้อมรบใหญ่ทั้งทางบกและทางอากาศฉวัดเฉวียนใกล้ชายแดนเกาหลีเหนือ แต่สื่อตะวันตกไม่เอ่ยถึง ภาพรวมจึงเห็นแต่เกาหลีเหนือก่อความปั่นป่วน ลืมไปว่าคนจุดไฟคือสหรัฐและบริวารเกาหลีใต้เอง ใครจะนิ่งเฉยได้ซ้อมรบเป็นเดือนติดรั้วบ้าน
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธนำวิถีอย่างน้อย ๓ ลูก มีทิศทางมุ่งหน้าไปทางทะเลตะวันออก หนึ่งในนั้นเป็นขีปนาวุธข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) นับเป็นครั้งที่ ๗ แล้วในปีนี้ ที่รัฐบาลเปียงยางทดสอบไอซีบีเอ็ม ทำญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เปิดไซเรนเตือนภัยประชาชน แตกตื่นกันไปทั่ว
ด้านสหรัฐอเมริกา เร่งเร้าสถานการณ์อย่างเอาการเอางาน ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (US Defense Secretary Lloyd Austin)ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่า การโจมตีด้วยนิวเคลียร์ใดๆ ต่อสหรัฐฯ หรือพันธมิตรโดยเกาหลีเหนือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และจะนำไปสู่การยุติระบอบคิม” ขณะที่สหรัฐฯ และเกาหลีใต้จัดซ้อมรบทางทหาร และประกาศจะซ้อมรบกับญี่ปุ่นในสัปดาห์ของการประชุมจี-๒๐
ออสตินส่งคำเตือนของเขาในแถลงการณ์ร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ ลี จอง-ซัพ โดยอธิบายว่าสหรัฐฯ จะปกป้องเกาหลีใต้โดยใช้ความสามารถในการป้องกันอย่างเต็มรูปแบบรวมถึงความสามารถในการป้องกันนิวเคลียร์ แบบธรรมดา และขีปนาวุธที่ไม่ใช่ขั้นสูง
ออสตินขู่คิม จองอึนว่า “การโจมตีด้วยนิวเคลียร์ใดๆ ต่อสหรัฐฯ หรือพันธมิตรและพันธมิตร รวมทั้งการใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่ไม่ใช่เชิงกลยุทธ์ เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และจะส่งผลให้ระบอบคิมสิ้นสุดลง ”
ในขณะเดียวกัน ยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่า “ยุทธศาสตร์ของวอชิงตันสำหรับเกาหลีเหนือยอมรับว่า“ไม่มีสถานการณ์ใดที่ระบอบคิมจะใช้อาวุธนิวเคลียร์แล้วเอาตัวรอดได้ ในฉบับเดียวกับที่ระบุว่าจีนและรัสเซียเป็นศัตรูที่ต้องจัดการ”
กองกำลังติดอาวุธของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ได้เข้าร่วมในการซ้อมรบร่วมก่อนหน้านี้จนถึงวันเสาร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเครื่องบินหลายร้อยลำและกองกำลังต่อสู้หลายพันนายจากทั้งสองประเทศ เกาหลีเหนือมองว่าการฝึกซ้อมเช่นนี้เป็นการยั่วยุ และการเตรียมการสำหรับการบุกรุกดินแดนของเกาหลีเหนือ
สหรัฐฯ ร้องขอให้มีการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ UNSC เพื่อตอบโต้ และขยายการซ้อมรบอย่างต่อเนื่องเกินกว่ากำหนดในวันศุกร์ เปียงยางเรียกสิ่งนี้ว่า“ความผิดพลาดครั้งใหญ่”และ“การตัดสินใจที่ขาดความรับผิดชอบ”
การปลุกปั่นยั่วยุของสหรัฐฯค่อข้างเป็นผล เมื่อเกาหลีเหนือโดยคิม จองอึนเป็นผู้นำที่ไม่ยอมสยบกับตะวันตกในทุกกรณี หลังจากไบเดนเข้ามาคุมบังเหียนสหรัฐความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้ และความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีแตกร้าวหนักขึ้นพับแผนการรวมชาติอย่างไม่เห็นอนาคต
วันนี้สหรัฐได้เคลื่อนย้ายกองกำลังทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาในย่านเอเชียแปซิฟิกอย่างต่อเนื่อง กระตุ้นการซ้อมรบในกลุ่มพันธมิตรที่จัดตั้งมาเพื่อต่อต้านจีน และขยายบทบาทตั้งเป้ามายังเกาหลีเหนืออย่างเข้มข้น วาระซ้อนเร้นในการกระตุ้นความขัดแย้งให้บานปลายเป็นสงคราม ค่อยๆเผยโฉมในภูมิภาคต่างๆอย่างเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ คู่ขนานไปกับสงครามข่าวสารทำลายฝ่ายตรงข้าม สร้างภาพว่าสหรัฐเป็นผู้มากอบกู้ในฐานะตำรวจโลก จับตาการเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายโดยเฉพาะจุดวาบไฟคาบสมุทรเกาหลีที่เมกาโหมไฟให้คุโชนไม่หยุด ว่าจะบานปลาย หรือจะผ่อนเบาลงเมื่อการเลือกตั้งกลางเทอมจบลง และรู้ผลว่าระหว่างรีพับลิกันกับเดโมแครตใครจะเป็นผู้ชนะ???