จากกรณีที่รัสเซียได้ออกมาแจ้งพลเมืองจำนวนมากให้เดินทางออกจากพื้นที่หนึ่งตามแนวริมตลิ่งแม่น้ำดริโปร ในแคว้นเคอร์ซอนของยูเครน ความเคลื่อนไหวยกระดับการอพยพครั้งใหญ่ ที่อ้างว่าเกิดจากความเสี่ยงที่ยูเครนอาจไม่ใช้อาวุธทั่วไปอีกต่อไป แต่ทางเคียฟชี้ว่ามันเทียบเท่ากับการบังคับลดจำนวนประชากรของดินแดนที่อยู่ภายใต้การยึดครองของมอสโกแห่งนี้ ก่อนหน้านี้รัสเซียมีแผนที่จะจัดการกับทหารเคียฟ โดยไม่ให้กระทบประชาชน จึงสั่งอพยพประชาชนออกมาจำนวนมาก จนถูกคาดการณ์ว่า พื้นที่ในแคว้นนี้ จะเป็นที่ถูกที่รัสเซียเลือกเดินหน้าปกป้องด้วยอาวุธนิวเคลียร์
ล่าสุดพวกเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัสเซีย ออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาขยายคำสั่งครอบคลุมเขตกันชน 15 กิโลเมตร ตามแนวริมฝั่งตะวันออกเช่นกัน ในขณะที่ยูเครนประณามว่าการอพยพ ในนั้นรวมถึงบังคับขับไล่ออกจากดินแดนยึดครอง เทียบเท่ากับอาชญากรรมสงคราม รัสเซีย ซึ่งอ้างผนวกเคอร์ซอนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนเมื่อไม่นานที่ผ่านมา บอกว่าที่ต้องพาพลเรือนไปยังพื้นที่ปลอดภัย เป็นเพราะมีความเสี่ยงที่ยูเครนอาจใช้อาวุธนอกแบบโจมตี
วลาดิมีร์ ซัลโด หัวหน้าแคว้นเคอร์ซอนที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัสเซียระบุว่า “สืบเนื่องจากความเป็นไปได้ที่รัฐบาลยูเครนอาจเลือกใช้วิธีต้องห้ามของสงคราม เช่นเดียวกับมีข้อมูลข่าวสารว่าเคียฟกำลังโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งใหญ่ถล่มสถานีไฟฟ้าพลังงานน้ำคาคอฟคา อันตรายจากกระแสน้ำไหลบ่าท่วมแคว้นเคอร์ซอนจึงใกล้เข้ามาทุกขณะ การตัดสินใจขยายโซนอพยพจะเปิดโอกาสให้การจัดตั้งแนวป้องกันเพื่อสกัดการโจมตีของยูเครนและปกป้องพลเรือน”
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัสเซีย ยังบังคับอพยพในเขตคาคอฟคา ใกล้กับสถานีไฟฟ้าพลังงานน้ำโนวา คาคอฟคา โดยให้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ก่อนหน้านี้ มอสโกเคยกล่าวว่าเคียฟกำลังมีแผนใช้สิ่งที่เรียกว่า “เดอร์ตีบอมบ์ (ระเบิดกัมมันตรังสี)” แพร่กระจายกัมมันตรังสี หรือไม่ก็ระเบิดเขื่อนเพื่อให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมเมืองและหมู่บ้านต่าง ๆ ในแคว้นเคอร์ซอน ยูเครนตอบโต้ว่าคำกล่าวหาที่ว่าพวกเขาจะใช้ยุทธวิธีดังกล่าวในดินแดนของตนเองเป็นเรื่องไร้สาระ พร้อมชี้ว่าอาจเป็นฝ่ายรัสเซียเองที่กำลังวางแผนดำเนินการเช่นนี้อยู่ แล้วกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือยูเครน
ขณะที่บรรยากาศในเมืองเคอร์ซอนในวันอังคาร ที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ท้องถนนสายต่าง ๆ แทบจะว่างเปล่า ด้วยร้านค้าและธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงปิดบริการ แต่พบเป็นประชาชนจำนวนหนึ่งนั่งเรือเฟอร์รีข้ามฟากไปยังชายฝั่งตะวันอกของแม่น้ำดนิโปร และผู้ชายกลุ่มหนึ่งนั่งตกปลาอย่างสงบ ดูเหมือนไม่แยแสต่อเสียงปืนใหญ่ที่ดังคำรามจากระยะไกล กองกำลังรัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ ในสิ่งที่มอสโกอ้างว่าเป็นปฏิบัติการพิเศษด้านการทหาร เพื่อจำกัดพวกชาตินิยมที่เป็นอันตรายและปกป้องพลเรือนที่พูดภาษารัสเซีย เคียฟระบุว่าปฏิบัติการทางทหารของมอสโกนี้ เป็นความพยายามบุกยึดดินแดนโดยปราศจากการยั่วยุใด ๆ
ชายชาวรัสเซียหลายหมื่นคนเดินทางออกไปยังต่างแดน หลบหนีคำสั่งเรียกระดมพลทหารกองหนุน แต่ด้านรัสเซียยังคงเดินหน้ายิงขีปนาวุธถล่มเมืองต่าง ๆ ของยูเครน ในนั้นรวมถึงกรุงเคียฟ ในสิ่งที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ระบุว่าเป็นการแก้แค้นเหตุโจมตีกองเรือทะเลดำของรัสเซียเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยูเครนอ้างว่าสามารถสอยร่วงขีปนาวุธส่วนใหญ่ แต่บางส่วนเล็ดลอดถล่มสถานีไฟฟ้า ทำไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างและส่งผลกระทบต่อโครงข่ายน้ำประปาด้วย
อย่างไรก็ตามการอพยพประชาชนในเขตเคอร์ซอนออกมามากมายขนาดนี้ คาดการณ์ว่าจะมีการปะทะเดือดในพื้นที่ดังกล่าว ท่ามกลางการจับตามองของรัสเซีย ที่ลุ้นว่ายูเครนจะใช้แผนสกปรก เริ่มนำอาวุธต้องห้ามมาใช้หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เกมรบกดดันให้รัสเซียอาจจะต้องใช้อาวุธนิวเคลียร์ แต่จู่ ๆ เหมือนกระดานพลิก เพราะยูเครนกำลังเข้าตาจนแบบเลือกไม่ได้อีกต่อไป นับวันยิ่งมืดมนไร้แสงสว่าง อาหารราคาแพงขึ้น และท้าทายรัสเซียจนถูกระงับข้อตกลงส่งออกธัญพืช นาทีนี้ยูเครนเหมือนถูกตัดแขน ตัดขา หากจะเลือกเดินเกมแบบไร้ทางออก อาวุธต้องห้ามที่รัสเซียจับตามองอย่างเดอร์ตีบอมบ์ อาจจะเป็นคำตอบ