หลังจากที่ปธน.สี จิ้นผิงได้รับไฟเขียวบริหารประเทศเป็นสมัยที่ ๓ เป็นเวลา ๕ ปี รัฐมนตรีต่างประเทศของมอสโกว์และปักกิ่งได้ติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์ถึงการยกระดับการเป็นพันธมิตรของทั้งสองประเทศ และจีนยืนยันสนับสนุนรัสเซียฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคต่างๆให้ลุล่วงตามจุดมุ่งหมาย ขณะเดียวกันได้กระชับสัมพันธ์อาเซียนในทุกมิติเพื่อรับมือแรงกดดันของสหรัฐและพันธมิตรในทุกรูปแบบ ซึ่งนับวันเข้มข้นตึงเครียดขึ้นเมื่อการประชุมซัมมิตจี -๒๐ ที่อินโดนีเซียและประชุมเอเปคในไทยใกล้เข้ามา
วันที่ ๓๐ ต.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวโกลบัลไทมส์และรัสเซียทูเดย์รายงานว่า หวัง ยี่ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศจีนให้คำมั่นที่จะสนับสนุนรัสเซียในขณะที่เผชิญกับอำนาจรวมของชาติตะวันตก ตามรายงานของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
โดยเจ้าหน้าที่ทั้งสองให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนซึ่งกันและกันในความพยายามด้านภูมิรัฐศาสตร์ ปักกิ่งจะ“สนับสนุนฝ่ายรัสเซียอย่างมั่นคง” โดยช่วยเหลือความพยายามของปธน. ปูติน ในการ“รวมใจและนำชาวรัสเซียให้เอาชนะปัญหาและขจัดความวุ่นวาย” รวมทั้งตระหนักถึง “เป้าหมายการพัฒนาเชิงกลยุทธ์”เพื่อสนับสนุนสถานะของรัสเซียในฐานะมหาอำนาจสำคัญ ในระดับนานาชาติ ตามข้อมูลที่โพสต์โดยกระทรวงการต่างประเทศจีน
แถลงข่าวของปักกิ่งระบุว่า “มันเป็นสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมายของจีนและรัสเซียที่จะตระหนักถึงการพัฒนาและการฟื้นฟูของพวกเขาเอง ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาในยุคสมัยอย่างเต็มที่” “ความพยายามใดๆ ที่จะขัดขวางความก้าวหน้าของจีนและรัสเซียจะไม่ประสบความสำเร็จ”
นักการทูตระดับสูงยืนยัน“ความไว้วางใจซึ่งกันและกันและการสนับสนุนอย่างมั่นคง”และให้คำมั่นว่าจะทำงานร่วมกันเพื่อนำทั้งสองประเทศไปสู่ระดับต่อไปในลักษณะที่จะไม่เพียงแต่เป็นผลประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยัง“ให้ความมั่นคงมากขึ้นแก่โลกที่วุ่นวาย”
รมว.ต่างประเทศ เซอร์เก ลาฟรอฟ(Sergey Lavrov) ได้แสดงความยินดีกับปธน.สี จิ้นผิง ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของเขาในฐานะเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขาขอบคุณปักกิ่งสำหรับการสนับสนุนรัสเซียในการบรรลุ“การยุติสถานการณ์รอบยูเครนอย่างยุติธรรม” และทำให้แผนการของเคียฟเลิกใช้อาวุธทำลายล้างสูงเพื่อการยั่วยุด้วยธงเท็จ หรือใช้เพื่อเรียกร้องความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมจากตะวันตก
ปธน.ปูติน กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีสัปดาห์ที่ผ่านมา ในการประชุมนานาชาติวัลไดว่า โลกกำลังเผชิญกับทศวรรษที่อันตรายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากชนชั้นนำตะวันตกพยายามดิ้นรนเพื่อป้องกันไม่ให้การครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรต้องล่มสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปูติน กล่าวว่า “เราถือว่าจีน คนจีนเป็นเพื่อนสนิท ด้วยความเคารพอย่างมากต่อวัฒนธรรมและประเพณีของตน ฉันแน่ใจว่าบนพื้นฐานของรากฐานที่แข็งแกร่งนั้น เราจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงด้วยกัน” ปูตินกล่าว
ในเวลาใกล้เคียงกันรมว.กลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสตินก็ออกมาแถลงข่าวระบุการยกระดับเพิ่มเติมในกฎหมายป้องกันประเทศระบุว่ารัสเซียและจีนเป็นศัตรูสำคัญที่คุกคามสถานะของสหรัฐและพันธมิตร และต้องมีการจัดการ บ่งบอกสัญญาณการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มมหาอำนาจเก่าและผู้ท้าทายของโลกขั้วใหม่จ่อยกระดับแผ่ขยายลามไปหลายจุดวาบไฟ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ปักกิ่ง เมื่อวันพุธที่ ๒๖ ต.ค.ที่ผ่านมา จีนได้ยืนยันจะกระชับความสัมพันธ์กับอาเซียน โดยให้ความสำคัญอย่างมากต่ออาเซียน พร้อมจะทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุสู่พัฒนาการ ความมั่งคั่ง และก้าวสู่ความทันสมัยร่วมกัน
หวัง ยี่ให้ความเห็นว่า ในปี ๒๕๖๕ นี้ ประเทศในอาเซียนได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมพหุภาคีที่สำคัญหลายรายการ ได้แก่ การประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม จ-๒๐ การประชุม APEC และการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออกว่าด้วยความร่วมมือด้านต่าง ๆ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันเป็นเวลาของเอเชีย
พร้อมกันนี้ นักการทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียนยังได้กล่าวยินดีต่อความสำเร็จของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ ๒๐ ซึ่งจะเป็นเส้นทางนำไปสู่ความทันสมัยของจีนยุคใหม่ ตลอดจนผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างจีนและประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
นักวิเคราะห์ชาวจีนกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของจีนโดย รมว.ต่างประเทศมุ่งเป้าส่งข้อความไปที่ยังสหรัฐฯ เรื่อง “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ” ที่ทำเนียบขาวออกป่าวประกาศเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งให้คำมั่นว่าจะ “เอาชนะจีนและบีบบังคับรัสเซีย”ให้ได้
ผู้เชี่ยวชาญชาวจีนกล่าวว่า “เพื่อรักษาอำนาจครอบงำโลกของตนอย่างไม่ยุติธรรม สหรัฐฯ ได้ท้าทายการพัฒนาของจีนและรัสเซียอย่างเปิดเผย และให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อทศวรรษหน้าที่จะควบคุมมหาอำนาจใหญ่ที่ไม่ใช่บริวารของตะวันตกทั้งสองประเทศนี้ จึงเป็นธรรมดาที่จีนและรัสเซียจะยิ่งยืนหยัดต่อไป และใกล้ชิดกันมากขึ้น พร้อมจะให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันมากขึ้น เพื่อต่อต้านแรงกดดันจากสหรัฐฯ ร่วมกัน
วาระที่สามของสีจิ้นผิงจึงเป็นข่าวดีสำหรับรัสเซีย แต่เป็นลางไม่ดีสำหรับสหรัฐฯ และพันธมิตรรวมทั้งไต้หวันด้วย!!!!