จากกรณีอิสราเอลประกาศแล้วไม่ส่งอาวุธให้ยูเครน ซึ่งเป็นการแสดงท่าทีที่บ่งชี้ว่า ไม่กล้าเปิดหน้าปะทะกับรัสเซีย เพราะฝ่ายตัวเองไม่มีกำลังพอที่จะสู้ได้ รวมทั้งพันธมิตรสำคัญอย่างสหรัฐ เมื่อถึงเวลาก็ไม่อาจเข้าช่วยอิสราเอลได้
ล่าสุดวันนี้ 26 ตุลาคม 2565 Blockdit World Update ระบุถึงแหล่งข่าวสำคัญที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารออกมา โดยมีบางส่วนที่เปิดเผยถึงขบวนการพยายามเข้ายึดพื้นที่ยูเครนว่า
“ปี 2014 แก๊งค์ 3 อ. คือ อเมริกา อังกฤษ อิสราเอล มีความวิตกกังวลการขยายแสนยานุภาพทางทหารของรัสเซีย ในซีเรีย และตะวันออกกลาง
การพัฒนาอาวุธของอิหร่าน ความแข็งแกร่งขึ้นของกองทัพฮิซบุลลอฮ์ เลบานอน ที่อิสราเอลเคยแพ้สงครามแบบซึ่งหน้ามาแล้ว 2 ครั้ง
จึงต้องการดินแดนแห่งใหม่สำรองในกรณีรองรับการอพยพย้ายถิ่นฐานชาวยิวจำนวนมาก ที่ใกล้เคียงวัฒนธรรมเดิม หวยจึงมาออกที่ดินแคว้นลวิฟ ใกล้โปแลนด์ ภาคกลาง และภูมิภาคดอนบาส ตะวันออกเฉียงใต้ยูเครน เหตุเพราะมีแหล่งทรัพยากรก๊าซสำรอง น้ำมัน ถ่านหิน สินแร่โลหะในปริมาก พื้นที่เกษตรผลิตอาหารอุดมสมบูรณ์ มีท่าเรือส่งออก แต่ติดที่มีชาวสลาฟ อยู่อาศัยหนาแน่น
ชาติ 3 อ. จึงทุ่มทุนและอาวุธ ตั้งกองพัน Azov กองกำลังผสมทหารรับจ้างขึ้น หลักการคล้ายกลุ่มติดอาวุธ ISIS เพื่อไล่ที่ชาวสลาฟให้ออกไป แล้ววางแผนการณ์ใหญ่จะตั้งฐานยิงขีปนาวุธพิสัยไกลติดหัวรบนิวเคลียร์ในภูมิภาคดอนบาส จ่อประตูบ้านรัสเซีย เป้าหมายพิกัดเมืองหลวงมอสโก และเมืองยุทธศาสตร์เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก
แต่ชาวสลาฟไม่ยอม จึงตั้งกองทัพปลดแอกประชาชนขึ้นมาต่อสู้ แม้จะเสียเปรียบด้านอาวุธกองพัน Azov กองกำลังทหารรับจ้างตะวันตก อย่างมาก
โดยอิสราเอล มีกองกำลังชื่อ OUN-B ที่เดินทางมาฝึกในพื้นที่ยูเครน โดยหน่วยรบพิเศษอิสราเอลอย่างเปิดเผย ส่วนสหรัฐ อังกฤษ จะจ้างเหมาบริษัททหารรับจ้างมีสำนักงานใหญ่ที่เมืองท่ามาริอูโปล สำนักงานรองในเมืองครามาทรอตสก์ ภาคกลางเขตโดเนตสก์
การต่อสู้กันยาวนาน 8 ปี พลเรือนชาวสลาฟโดนโจมตีด้วยปืนใหญ่ และขีปนาวุธ เสียชีวิตกว่า 14,000 ราย ชาติตะวันตกได้ใจมีคำสั่งบุกยึดแคว้นไครเมีย รัสเซีย หวังยึดท่าเรือ บล็อคทางออกทะเลดำ และตั้งฐานยิงขีปนาวุธอีกแห่ง
กุมภาพันธ์ 2022 รัสเซีย ทนไม่ไหวจึงเริ่มต้นปฏิบัติการทางทหารในยูเครน ผู้นำชาติแรก คือ นายนัฟทาลี เบนเนตต์ นายกฯ อิสราเอลในขณะนั้นบินด่วนฉุกเฉินกลางคืนขอผ่านน่านฟ้าตุรกี (ทูร์เคีย) เข้าพบประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เจรจาขออพยพชาวยิวในยูเครน ราว 4.1 ล้านคนออกไปทางชายแดนโปแลนด์
รัสเซีย รับปากจะไม่ใช้อาวุธโจมตีพลเรือนชาวยิวมหาศาลเหล่านั้นขณะอพยพออกไปอย่างเงียบๆ จากยูเครนไปโดยปลอดภัย โดยมีชาวยูค ท้องถิ่นปะปนออกไปด้วยอีก 1 ล้านคนรวมเป็น 5 ล้านคนไปยุโรป
ต่อมามีชาวสลาฟอีก 2 ล้านคน อพยพลี้ภัยจากการโจมตีของยูเครน หนีเข้าไปในเขตแดนรัสเซีย เมื่อหักลบจำนวนประชากรใน 4 ดินแดน 8.8 ล้านคน ที่ลงประชามติเกิน 90% แยกเอกราชออกจากยูเครน ไปเป็นดินแดนของรัสเซีย ทำให้ปัจจุบันยูเครนเหลือประชากรราว 25 ล้านคน จากเดิมมี 41 ล้านคน หรือคงเหลือราว 60% ก่อนเกิดสงคราม”