จากที่สหรัฐได้ร้องขอให้ซาอุฯผลิตน้ำมันเพิ่ม แต่ถูกปฏิเสธ รวมทั้งยังมีความบาดหมางกันมากขึ้นด้วย ซึ่งล่าสุดซาอุฯได้เข้าเป็นสมาชิกกลุ่มบริกส์ ทั้งยังมีความเคลื่อนไหวที่จะเข้ามาลงทุนด้านพลังงานในไทยด้วย
ทั้งนี้ Blockdit World Update ได้โพสต์ข้อความรายงานถึงกรณีซาอุฯไว้จากการระบุแหล่งที่มาของข้อมูล ซึ่งบางช่วงเปิดเผยไว้ว่า
“ซาอุดิอาระเบีย ชาติมหาอำนาจพลังงานน้ำมันยักษ์ใหญ่ ร่วมกับรัสเซีย และพันธมิตรในกลุ่ม OpecPlus ถือเป็นฝ่ายจัดระเบียบโลกใหม่ และกำลังผงาดโลก
โดยซาอุฯ และอิหร่าน ได้ฟื้นสัมพันธ์ต่อกันโดยมีรัสเซีย – จีนเป็นกาวใจ และเพิ่งสมัครเข้ากลุ่ม BRICS อีกด้วย เพื่อมาจัดระเบียบโลกใหม่หลายขั้วที่เป็นธรรม ล้มระเบียบโลกเก่าชาติตะวันตก ชาติใดเป็นพันธมิตรกับกลุ่มมหาอำนาจใหม่ของโลกนี้ จะมั่นคงทางพลังงาน และมั่งคั่งทางการค้าในอนาคตไปอีกเป็นร้อยปี
ปัจจุบันเศรษฐกิจของซาอุดิอาระเบีย มีอัตรา GDP ราว 26.6 ล้านล้านบาท สูงกว่าไทยเล็กน้อยราว 1.33 เท่า ปี 2020 งบประมาณประเทศด้านต่างๆ ราว 6.5 ล้านล้านบาท เศรษฐกิจเติบโตมากในไตรมาสที่ 1 ปี 2022 นี้ ขยายตัว GDP ถึง 9.9% และยังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ
ซาอุฯ เป็นประเทศตัวกลางที่ไทยจะส่งออกขายสินค้าไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั้งในตะวันออกกลาง ยุโรป และแอฟริกา โดยปีนี้มูลค่าทางการค้าระหว่างไทย และซาอุฯ ร่วมกันจากการทำ Business Matching ประมาณ 11,000 หมื่นล้านบาท มีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกัน ขยายตัวปีละ 10%
โดยซาอุฯ มีความสนใจที่จะมาลงทุนสร้างคลังเก็บน้ำมัน และโรงกลั่นน้ำมันดิบที่ไทย การลงทุนในระยะแรกคิดเป็นมูลค่าราว 190,000 ล้านบาท จะทำให้ไทยเกิดความมั่นคงทางพลังงานสูงขึ้น
เมื่อซาอุฯ มาลงทุนในไทย จะลากให้รัสเซีย จีน แห่มาลงทุนทางพลังงาน และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องต่างๆ ในไทยไปโดยปริยาย เพราะ 3 ชาตินี้ตั้งเป้าวางแผนจะให้ทวีปเอเชีย เจริญมั่งคั่งทดแทนยุโรป ที่ขาดพลังงาน
ขณะนี้ไทยจึงส้มหล่น มีธุรกิจแห่มาจดทะเบียนรองรับการลงทุนภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จะย้ายฐานการผลิตจาก สหรัฐ ยุโรป จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ มาลงพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC และพื้นที่เป้าหมาย
เพราะถ้าประเทศใดก็ตามมีภาคพลังงานมั่นคง ราคาไม่สูง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์มวลรวม GDP และรายได้ต่อหัวประชากรจะพุ่งสูงมาก ถือเป็นกฎวิวัฒนาการ พลังงานมีทิศทางไปทางไหน ความเจริญก็จะหลั่งไหลไปพัฒนาพื้นที่นั้น เพราะภาคเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม จะขาดพลังงาน และวัตถุดิบไม่ได้
เดือน มีนาคม 2565 รัฐบาลไทยมีทองคำสำรองมากที่สุดอันดับ 1 ของอาเซียนที่ 244.2 ตัน (เทียบเท่าสร้อยทองหนัก 1 บาท จำนวน 16.28 ล้านเส้น) คิดเป็น 5.8% ของทุนสำรองของไทย ณ ส.ค.2565 รัฐบาลไทยมีเงินคงคลัง 501,551 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ.จำนวน 82,963 ล้านบาท
ไทยยังมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศรวมทองคำสูงถึง 8.85 ล้านล้านบาท จัดเป็นอันดับ 12 ของโลก แต่ถ้าคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ก็ขยับขึ้นเป็นอันดับ 8 ของโลก
ณ เดือน ตุลาคม ปีนี้ ประเทศไทยมีอัตรา GDP เพิ่มมากที่สุดลำดับ 1 ในกลุ่มอาเซียน นำโด่งลำดับ 2 เวียดนาม มากถึง 2.7 เท่า ไทยมีท่าเรือสินค้าขนาดใหญ่ที่เทียบท่าได้ทั้งฝั่งทะเลอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน บรรพบุรุษชาวไทย มอบแผ่นดินขวานทองล้ำค่านี้มาให้เป็นมรดกกับลูกหลานตลอดไป
ไทยจึงเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่เหมาะสม ลงตัว..อีกทั้งไทยมีนโยบายไม่ร่วมคว่ำบาตรใคร และงดออกเสียงประนามใครในเวทีการเมืองนานาชาติ..เป็นมิตรกับทุกฝ่าย”