จากที่เซเลนสกี้ มีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป โดยผู้นำ 27 ชาติอียูจะหารือแนวทางส่งความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้ยูเครน รวมถึงอุปกรณ์ด้านพลังงาน และวงเงินอุดหนุนภารกิจฟื้นฟูยูเครนในระยะยาวนั้น
ทั้งนี้ Blockdit World Update ได้โพสต์เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2565 ถึงเหตุการณ์การประท้วงของชาวยุโรป โดยระบุแหล่งที่มาของข้อมูลไว้ชวนติดตามว่า
“ขณะนี้ทวีปยุโรปได้เกิดปรากฎการณ์ยุโรปสปริงส์ไปเรียบร้อยแล้วจาก กองทัพประชาชนปลดแอก ในประเทศต่างๆ คือ อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ มอลโดวา ฯลฯ โดย Radio Geneva ใช้คำขวัญว่าประท้วงว่า “Europeans don’t want to starve and freeze for Zelensky” หมายถึง ชาวยุโรปไม่อยากอดตายและทนหนาวเพื่อเซเลนสกี้
ชาวยุโรปไม่ได้ประท้วงชาวยูเครนทุกคน แต่ประท้วงตัวประธานาธิบดียูเครนคนเดียว ที่ลากรัฐบาลพวกเขาไปสู่หลุมดำหายนะอัตราเงินเฟ้อสูง ค่าครองชีพแพง ราคาพลังงานแพง วิกฤติเศรษฐกิจถดถอย อุตสาหกรรมปิดตัว ท่ามกลางภัยคุกคามจากฤดูหนาวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
นอกจากจะทำให้รัฐบาลในยุโรป ทยอยล้มคว่ำระเนระนาดไปเรื่อยๆ และสังคมเดือดร้อนวุ่นวายแล้ว บรรดาประเทศในสหภาพยุโรป ก็มีความขัดแย้งแตกแยกกันไม่ลงรอยกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุดมีการประชุมสุดยอดผู้นำประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) จำนวน 27 ชาติ ที่กรุงบรัสเซลส์เบลเยียมใช้เวลานานมาราธอนถึง11ชม. เรื่องแผนกำหนดเพดานราคาพลังงาน จบลงด้วยความล้มเหลวตกลงกันไม่ได้ กลับบ้านมือเปล่า
โดยแบ่งเป็น 2 ฝ่าย นำโดยฝรั่งเศส เบลเยียม และราว 15 ประเทศ เพ้อฝันว่าจะกำหนดเพดานราคาพลังงาน บิดเบือนกลไกราคาตลาด ที่กำลังกระทบค่าครองชีพ เงินเฟ้อสูงขึ้น
แต่ที่เหลือนำโดยเยอรมนี ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่สุดใน EU คัดค้านการกำหนดเพดานราคาพลังงาน โดยให้เหตุผลว่า “จะแช่แข็งยุโรป และเสี่ยงถูกตัดออกจากตลาดก๊าซ” เพราะถ้ากำหนดเพดานราคาให้ต่ำ สหรัฐ นอร์เวย์ ตะวันออกกลาง ก็จะไม่ส่งพลังงานมาขายให้ยุโรป เพราะขายให้ที่อื่นได้ราคาที่ดีกว่า ปล่อยเกาะยุโรปไป ประเทศอุตสาหกรรมอย่างเยอรมนี จึงไม่กล้ากำหนดเพดานราคาพลังงาน
ราคาพลังงาน และสารเคมีหัวใจหลักอุตสาหกรรมเยอรมนี แพงขึ้นขนาดนี้ จะไม่มีธุรกิจใดยื้อต่อไปได้นานนัก อุตสาหกรรม ที่ขาดแคลนพลังงานราคาถูกระยะยาว ย่อมไม่สามารถยืนอยู่ได้และต้องล้มลงไป
ต่อให้ผู้นำประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ประชุมกันทั้งวันทั้งคืน ก็ไม่อาจหนีความจริงว่า ยุโรปคือหลุมดำแห่งพลังงาน
เพราะยุโรปไม่มีแหล่งแร่ยูเรเนียม ปัจจุบันยังคงซื้อเชื้อเพลิง และเทคโนโลยีนิวเคลียร์จากบริษัท Rosatom รัสเซีย เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้ง 18 เครื่อง เช่น ในฝรั่งเศส , ฟินแลนด์, สโลวาเกีย, ฮังการี, บัลแกเรีย, เช็ก ล้วนต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงนิวเคลียร์จากรัสเซีย
ที่เป็นผู้เล่นหลักในตลาดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ทั่วโลกกว่า 50% แม้แต่บริษัทลูกในสหรัฐ ออสเตรเลีย คาซัคสถาน ก็เป็นของรัสเซียทั้งนั้น แม้เยอรมนีจะกลับมาเปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหม่ ถ้าไม่พึ่งพาแร่ยูเรเนียมจากรัสเซีย ก็เปิดแต่โรงงานที่ไร้พลังงาน
ส่วนรัสเซีย ไม่กระทบอะไรเลย ได้ดินแดนใหม่เพิ่มมา 4 เขตพื้นที่ขนาดเท่าโปรตุเกส ประชากรเพิ่มมาอีก 8.8 ล้านคน พร้อมขุมทรัพย์พลังงาน แร่ธาตุอีก 14 ล้านล้านดอลลาร์ และกำลังนับเงินชาวเอเชีย และตะวันออกกลางที่ล้นทะลักคลังอย่างเพลิดเพลิน”