ฉีกหน้ากันเละ หลังปธน.โจ ไบเดนกินไอสครีมโชว์พร้อมอวยเศรษฐกิจมะกันแข็งแกร่งขั้นเทพ “the American economy is strong as hell”หรือจะแปลอีกแบบว่า เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งราวกับนรก ก็ได้ ก่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์หนักในหมู่สังคมโซเชียล ล่าสุด เบซอส(Bezos)ซีอีโออเมซอนสุดทน ออกมาสัมภาษณ์ ฟาดปากผู้นำสหรัฐ เตือนแรงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างเลวร้าย บอกให้ทั้งมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน และคนอเมริกันต้อง เตรียมพร้อมรับมือกับภาวะถดถอยที่เจ็บปวด
รัฐบาลไบเดน โดยเฉพาะเฟดไม่สนใจผลกระทบใดๆต่อเศรษฐกิจจริงของประเทศตั้งหน้าตั้งตาขึ้นดอกเบี้ยโหดต่อเนื่อง และปั่นมูลค่าดอลลาร์แข็งโป๊ก เหยียบค่าเงินสกุลอื่นทั่วโลกที่ผูกตะกร้าเงินกับดอลลาร์มาอย่างยาวนาน ขนาดภาคการเงินได้เปรียบเพราะกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยปรับขึ้น ต่างก็ยังเห็นด้วยว่า รีเซสชั่นกำลังคืบคลานเข้ามาเร็วกว่าที่คาด คำเตือนของเบซอสจึงสั่นสะเทือนนักลงทุนไม่น้อย
วันที่ ๒๐ ต.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวนิวยอร์กโพสต์และรัสเซียทูเดย์รายงานว่าเจฟ เบซอส(Jeff Bezos) ผู้ก่อตั้ง Amazon เตือนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดความเจ็บปวดมากเกินไป
เขาแสดงความคิดเห็นนี้ขณะรีทวีตบทสัมภาษณ์ CNBC กับเดวิด โซโลมอน(David Solomon) ซีอีโอของโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยนายธนาคารเตือนว่าเขาเห็นภาวะถดถอยในสหรัฐฯ และแนะนำให้เจ้าของธุรกิจระมัดระวังและเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนของตลาดที่พัดพาการเติบโตเศรษฐกิจของอเมริกามากขึ้น
มหาเศรษฐีได้เข้าร่วมกลุ่มนักลงทุน ผู้บริหาร และนักวิเคราะห์ชั้นนำ รวมถึงเจมี่ ไดมอน ซีอีโอของ JPMorgan Chase ซึ่งกำลังส่งเสียงเตือนถึงสิ่งที่รอให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยสหรัฐฯ
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่องสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันที่ ๘.๒% สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี ๑๙๘๑ ในขณะเดียวกันดัชนีราคาผู้บริโภคหลักของสหรัฐฯ หรือ CPI ซึ่งไม่รวมอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ ๖.๖% เมื่อเทียบเป็นรายปีจนถึงเดือนกันยายน ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เมื่อต้นปีนี้เบซอส ได้ตำหนิฝ่ายบริหารของไบเดน ที่พยายามหลอกลวงชาวอเมริกันเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ โดยอ้างว่าการเพิ่มมาตรการยกเว้นภาษีให้กับบริษัทต่างๆ จะทำให้ผู้มั่งคั่งจะไม่ลดต้นทุนของผู้บริโภค และจะทำให้เงินเฟ้อจะลดลงโดยเร็ว
นอกจากนี้ เบซอสยังฟันธงว่าสาเหตุที่แท้จริงของอัตราเงินเฟ้อคือนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทำเนียบขาว “ปั้มเงินอัดฉีดเข้าสู่เศรษฐกิจที่ร้อนจัดโดยไม่มีเศรษฐกิจจริงรองรับจึงเกิดเงินเฟ้อ”
ในด้านสถานภาพทางเศรษฐกิจล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยงานของสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นว่า มาตรวัดราคาผู้บริโภค หรือซีพีไอที่สำคัญของประเทศได้เพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงสุดในรอบสี่ทศวรรษ
ราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ๘.๒% จากปีก่อนหน้าลดลงจากที่เพิ่มขึ้น ๘.๓% ในเดือนสิงหาคม และสูงสุดในรอบ ๔ ทศวรรษที่๙.๑% ในเดือนมิถุนายน เนื่องจากราคาอาหารและค่าเช่าที่พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งชดเชยราคาน้ำมันที่ลดลง ตามดัชนีราคาผู้บริโภคของกระทรวงแรงงาน การเพิ่มขึ้นในเดือนที่แล้วขัดต่อการคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ราคาผู้บริโภคขยับขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ที่ ๐.๔%
ดัชนีหลักถูกมองว่าเป็นตัวติดตามแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ดีกว่า เนื่องจากต้นทุนด้านอาหารและพลังงานสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเดือน
รายงานระบุว่าอัตราเงินเฟ้อก๊าซและอาหารโดยทั่วไปได้ผ่อนคลายขึ้นจากระดับที่เห็นเมื่อต้นปีนี้ ในขณะเดียวกัน ค่าที่พักพิงก็เป็นผู้นำ โดยดัชนีที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น ๐.๗% ตลอดทั้งเดือน
บริการขนส่งมีราคาพุ่งขึ้น ๑.๙% เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ ๑ เดือนสำหรับส่วนประกอบ CPI หลัก ตามมาด้วยค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่ารายงานดังกล่าวส่งสัญญาณว่าเงินเฟ้อเป็นปัญหาที่คงอยู่แม้ท่ามกลางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจำนวนมากจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มันจะกำหนดว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะผลักดันต่อไปอย่างไรด้วยการกระชับเชิงนโยบายการเงินเชิงรุกและรักษาอัตราดอกเบี้ยให้สูงจนกว่าจะมีสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้อจะเย็นลงโดยไม่สนใจผลกระทบต่อธุรกิจภาคการผลิตอื่นๆแต่อย่างใด
เบซอส(Bezos) และโซโลมอน (Solomon) จากโกลแมนแซคส์รวมถึงคนอื่นๆ ต่างออกมาเตือนว่าภาวะถดถอยกำลังใกล้เข้ามาหรือกำลังอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงเจมี ไดม่อน (Jamie Dimon) ซีอีโอของ JPMorgan Chase ก็เคยวิพากษ์รัฐบาลเช่นกัน ถึงกับกล่าวว่า เฮอริเคนเศรษฐกิจจ่ออยู่หน้าบ้านแล้ว แต่ไบเดนและทีมเศรษฐกิจต่างก็ไม่นำพาและเชื่อว่า พายุรีเซสชั่นเกิดขึ้นแล้วก็จะผ่านไปได้เพราะเศรษฐกิจสหรัฐนั้นแข็งแกร่ง ถ้าเป็นความจริงทำไมจึงต้องกระตุ้นสงครามล้างหนี้ ไล่ทุบกบฎเปโตรดอลลาร์รอบทิศ????