หลังจากที่ เซอร์เกย์ ซูโรวิคิน แม่ทัพคนใหม่ของรัสเซียในปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน ได้ออกมาเปิดเผยผ่านสื่อล่าสุดว่า ขณะนี้ สถานการณ์ในภูมิภาคเคอร์ซอนของยูเครนที่รัสเซียยึดไว้ได้นั้น “ตึงเครียด” และ “ยากลำบาก” และประกาศว่า ต้องมีการอพยพพลเรือนในเมืองเคอร์ซอนด้วย ซูโรวิคินกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียครั้งแรกหลังรับตำแหน่งผู้บัญชาการคนใหม่ว่า “ศัตรูพยายามโจมตีตำแหน่งของกองทหารรัสเซียอย่างต่อเนื่อง”
การเคลื่อนไหวและแผนการหลังจากนี้เกี่ยวกับเมืองเคอร์ซอนจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางยุทธวิธีทหารที่เรากำลังหาทางอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะดำเนินการอย่างมีสติ ทันท่วงที โดยจะไม่ตัดตัวเลือกที่ยากออกจากแผนการ และนี่นับเป็นหนึ่งในการยอมรับที่หาได้ยาก โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางทหารของรัสเซีย ว่าสถานการณ์ในยูเครนเหมือนจะไม่สู้ดี แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าความยากลำบาก”ที่ซูโรวิคินกล่าวถึงนี้ เป็นจริงมากน้อยเพียงใด มีความเป็นไปได้เช่นกันว่านี่จะเป็นเพียง “ระเบิดควัน” ที่รัสเซียใช้ อาจเพื่อหลอกให้ยูเครนได้ใจ หรืออาจเพื่อเป็นข้ออ้างในการถอยทัพหรือยกระดับการโจมตีก็เป็นได้ โดยแม่ทัพคนใหม่ยังกล่าวแบบอ้อม ๆ ด้วยว่า เขาไม่รับปากว่าอะไรจะเกิดขึ้น และอาจจะมีเรื่องที่ท้าทายการตัดสินใจแบบไม่คาดฝันด้วย
ล่าสุดดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ นักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า รัสเซียเปลี่ยนยุทธวิถีใหม่ที่เคอร์ซอน รัสเซียวางแผนเคลื่อนย้ายประชาชนในเขตเคอร์ซอนซึ่งเป็นเป้าของการโจมตีของกองทัพยูเครน ออกไปจากพื้นที่ เพราะขณะนี้กองทัพยูเครน กบดานอยู่และคอยตอบโต้รัสเซียในที่ตั้งซึ่งเป็นชัยภูมิที่ได้เปรียบ
ที่แล้วมากองทัพรัสเซียจะถล่มกองทัพยูเครนที่เคอร์ซอนก็ทำได้ไม่ถนัด เพราะกลัวประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงจะเป็นอันตราย ส่วนกองทัพยูเครนจะ ถล่มใส่กองทัพรัสเซียยังไงก็ได้เพราะไม่แคร์ประชาชนอยู่แล้ว จึงทำให้กองทัพรัสเซียรุกคืบได้ยากลำบากมาก
กองทัพรัสเซียจึงตัดสินใจอพยพประชาชนประมาณ 5 หมื่นคนออกจาก พื้นที่สู้รบในเขตเคอร์ซอนภายในเวลา ๗ วัน หวังลึก ๆ ว่ากองยูเครนจะบุก เข้าถล่มกองทัพรัสเซียและติดกับในพื้นที่โล่งโจ้ง รัสเซียจะได้ใช้อาวุธ หนัก ๆ กวาดล้างทีเดียว
ว่ากันว่ากองทัพยูเครนกล้าถึงฐานเดิม บุกเข้าหากองทัพรัสเซียที่เคอร์ซอน เข้าไปเขตพื้นที่โลง โอกาสที่กองทัพรัสเซียจะถล่มกองทัพยูเครน สังหารทหารยูเครนไปอย่างง่าย ๆ ได้ไม่น้อยกว่า ๑๕,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ คน เลยทีเดียว