ฮือฮาไปกับข่าวมหาอำนาจน้ำมันอย่างซาอุดิอาระเบีย แกนนำสำคัญของกลุ่มอ่าวอาหรับ ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรยาวนานของสหรัฐฯ เปิดเผยเจตนารมณ์ที่จะเข้าร่วม BRICS ที่กำลังเติบใหญ่อย่างคึกคัก โดยคุยเรื่องนี้กับปธน.แอฟริกาใต้ ท่ามกลางสัมพันธ์ระหว่างริยาร์ดและวอชิงตันร้าวฉานหนักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
วันที่ ๑๙ ต.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวทาซซ์และรัสเซียทูเดย์รายงานว่า ปธน.ไซริล รามาโฟซา(Cyril Ramaphosa)แห่งแอฟริกาใต้กล่าวว่า ซาอุดีอาระเบียต้องการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่ม BRICS ซึ่งส่งสัญญาณถึงศักยภาพอันน่าทึ่งของการขยายตัวของกลุ่มท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน
รามาโฟซาเปิดเผยเกี่ยวกับการแสดงความจำนงค์เข้า BRICS ของริยาดในขณะที่เขาเสร็จสิ้นการเยือนอาณาจักรทะเลทรายเป็นเวลา ๒ วันในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา การเดินทางรวมถึงการพบปะกับมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (Mohammed bin Salman) และผู้นำซาอุดิอาระเบียคนอื่นๆ
เขาย้ำว่า “มกุฎราชกุมารทรงแสดงความปรารถนาของซาอุดีอาระเบียที่จะเป็นส่วนหนึ่งของบริกส์ และพวกเขาไม่ใช่ประเทศเดียวที่สนใจ” นั่นอาจหมายรวมถึงสมาชิกกลุ่มอ่าวอาหรับที่เป็นหลักในกลุ่มโอเปกพลัส ที่เพิ่งเกิดความขุ่นเคืองกับสหรัฐเรื่องลดกำลังผลิตตามกลไกตลาดของอุตสาหกรรมพลังงานโลก
กลุ่มBRICS ที่ได้รับการตั้งชื่อตามประเทศสมาชิก บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ มีกำหนดจะประชุมกันที่เมืองโจฮันเนสเบิร์กในต้นปีหน้าสำหรับการประชุมสุดยอดประจำปี แนวโน้มการขยายตัวมีแนวโน้มสูงในวาระการประชุม เนื่องจากกลุ่มคาดว่าจะพิจารณาเพิ่มประเทศต่างๆที่ยื่นใบสมัคร เช่น ซาอุดีอาระเบีย ตุรกี อียิปต์ และแอลจีเรีย ฯลฯ
“ ประเทศในกลุ่ม BRICSกำลังจะจัดการประชุมสุดยอดในต้นปีหน้าภายใต้การเป็นประธานของแอฟริกาใต้ และเรื่องนี้กำลังอยู่ในการพิจารณา”รามาโฟซากล่าวว่า “หลายประเทศได้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศสมาชิก และเราได้ให้คำตอบเดียวกันแก่พวกเขาว่าจะมีการอภิปรายโดยพันธมิตร BRICS เอง หลังจากนั้น จะได้ตัดสินใจรับเข้าสู่กระบวนการ”
การเจรจาระหว่างซาอุดิอาระเบีย-แอฟริกาใต้เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างริยาดและวอชิงตัน เกี่ยวกับการตัดสินใจของโอเปกที่จะลดโควตาการผลิตลง ๒ ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ขู่ซาอุดีอาระเบียด้วย“ผลที่ตามมา” ที่ไม่ระบุรายละเอียด นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่าซาอุฯและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้าข้างรัสเซียมาอย่างยาวนานในวิกฤตยูเครน ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ เรียกร้องให้ยุติความร่วมมือกับซาอุดีอาระเบีย โดย ระงับการขายอาวุธ และถอนกำลังทหารยกเลิกการสนับสนุน
เจ้าชายซาอูด อัล- ชาลัน แห่งซาอุดีอาระเบีย(Saudi Prince Saud al-Shaalan) ตอบโต้ด้วยความโกรธเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยเตือนผู้นำตะวันตกอย่าคุกคามราชอาณาจักร “ใครก็ตามที่ท้าทายการดำรงอยู่ของประเทศนี้และอาณาจักรนี้ เราทุกคนล้วนเข้าสู่โครงการของญิฮาดและพร้อมเป็นมรณสักขี นั่นคือข้อความของฉันถึงใครก็ตามที่คิดว่าเขาสามารถคุกคามเราได้”
คาลิด บิน ซัลมาน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (Defense Minister :Khalid bin Salman) กล่าวว่า บรรดาผู้นำซาอุดิอาระเบียรู้สึก “ประหลาดใจ”และไม่พอใจกับข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ที่ว่าริยาดยืนหยัดเคียงข้างรัสเซียเพื่อต่อต้านยูเครน
รัสเซีย จีน และสมาชิกกลุ่ม BRICS อื่นๆ กำลังพัฒนาสกุลเงินสำรองทั่วโลก ซึ่งอาจบ่อนทำลายการครอบงำของเงินดอลลาร์สหรัฐ การเพิ่มซาอุดิอาระเบียเข้ากลุ่มอาจมีนัยยะกว้าง เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นส่วนหนึ่งมาจากสถานะเป็นสกุลเงินหลักในตลาดน้ำมันระหว่างประเทศ มีรายงานว่าซาอุดิอาระเบียได้เลิกซื้อขายน้ำมันด้วยดอลลาร์สหรัฐพิจารณาขายน้ำมันดิบในสกุลเงินหยวนจีนแทน
แม้ว่าสหรัฐฯ และซาอุดิอาระเบียจะไม่ใช่พันธมิตรที่เป็นทางการ แต่การเป็นหุ้นส่วนของพวกเขาถือเป็นหนึ่งในผลประโยชน์ร่วมกันที่ยาวนานที่สุดในภูมิภาคนี้ ริยาดเป็นผู้ซื้ออาวุธรายใหญ่ของสหรัฐฯ สหรัฐฯมีฐานะเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้พยายามรักษาผลผลิตน้ำมันดิบของซาอุดีอาระเบียให้ไหลเข้าสู่ตลาดต่างประเทศในมากขึ้นเพื่อ สหรัฐและยุโรปไม่ต้องปล่อยน้ำมันสำรองออกมาจนเกิดความไม่มั่นคงทางพลังงานของประเทศ
สงครามพลังงานได้เป็นส่วนหนึ่งของ การต่อสู้ระหว่างมหาอำนาจเก่าที่นำโดยสหรัฐและพันธมิตร กับรัสเซีย-จีนและพันธมิตร วันนี้เค้าลางการเข้าร่วมของฝั่งอาหรับชัดเจนขึ้น เพราะความเห็นแก่ได้ของสหรัฐทำลายมิตรที่สัมพันธ์มายาวนานให้จบลง แม้ไม่เป็นทางการแต่ร้าวฉานอย่างที่ไม่เคยคาดว่าจะเกิดขึ้นได้มาก่อน
เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ปธน.ไบเดนไม่มีแผนที่จะพบกับมกุฎราชกุมารในการประชุมสุดยอด G20 ในเดือนหน้าที่อินโดนีเซีย ไบเดนคงได้เห็นปูติน-สี จิ้นผิง-และเจ้าชายอาหรับสนิทสนมกลมเกลียวอย่างน่าอิจฉา!!
The State Visit to Saudi Arabia was about advancing diplomatic and political relations between our two countries, but it is the economic relations that underpinned the substance of our visit.#SAinSaudiArabia pic.twitter.com/zuVPODGy1c
— Cyril Ramaphosa 🇿🇦 (@CyrilRamaphosa) October 16, 2022