“บีโอไอ”กางแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน ๕ ปี (๒๕๖๖-๒๕๗๐) พลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจใหม่ ปักธง ๗ หมุดหมายแห่งอนาคต เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว หวังดึงอันดับความเชื่อมั่นกลับคืนมา ขณะที่ยอดคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน ๙ เดือน มูลค่ากว่า ๔ แสนล้านบาท
วันที่ ๑๘ ต.ค.๒๕๖๕ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยยุทธศาสตร์ฉบับใหม่จะเป็นแนวทางในการจัดทำมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาต่อไป
สำหรับสาระสำคัญของยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) มีเป้าหมายเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ “เศรษฐกิจใหม่” ที่เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว โดยบีโอไอวางเป้าหมายให้บรรลุผล ๓ ด้านด้วยกัน ได้แก่
๑.innovative เป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์
๒.Competitive เป็นเศรษฐกิจที่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน สามารถปรับตัวเร็ว และสร้างการเติบโตสูง
๓.Inclusive เป็นเศรษฐกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมทั้งการสร้างโอกาส และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ
จากกระแสการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นกระแสความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การเข้าสู่ยุคดิจิทัล และการแบ่งขั้วทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งนำไปสู่การปรับห่วงโซ่อุปทานและการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ ได้ก่อให้เกิดโอกาสด้านการลงทุน ในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค (Regional Hub) อย่างน้อยใน ๕ ด้าน ได้แก่
Tech Hub เป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านดิจิทัล ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และอุตสาหกรรมอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ เป็นต้น
BCG Hub เป็นศูนย์กลางการลงทุนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมชีวภาพ พลังงานหมุนเวียน อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นต้น
Talent Hub เป็นศูนย์รวมผู้มีศักยภาพจากทั่วโลก เช่น ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรทักษะสูง ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย กลุ่มสตาร์ตอัพ ไปจนถึงนักลงทุนและผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูง เป็นต้น
Logistics & Business Hub เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ตลอดจนเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเป็นที่ตั้งของสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarter) ธุรกิจบริการ ธุรกิจด้านการเงินและการค้าระหว่างประเทศ
Creative Hub เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ แฟชั่น และไลฟ์สไตล์ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ ดิจิทัลคอนเทนต์ เกมและอีสปอร์ต โดยใช้ศักยภาพด้านวัฒนธรรมของไทย ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สู่เวทีโลก
“ยุทธศาสตร์ใหม่นี้และเครื่องมือที่เรามีมันจะเป็นตัวสำคัญ ที่จะทำให้ประเทศไทยมีความสามารถทางการแข่งขันสูงขึ้น ซึ่งอันดับเราเคยตกลงมา จากนี้มันก็มีโอกาสที่อันดับของเรามันจะกลับมา”
สำหรับ ๗ หมุดหมายสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจใหม่ และยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค ประกอบด้วย
๑.การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม โดยยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่ไทยมีความโดดเด่น ควบคู่กับการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่ไทยมีศักยภาพ และสร้างความเข้มแข็งของ Supply Chain
๒.เร่งเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไปสู่ Smart & Sustainability
๓.ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ และประตูการค้าการลงทุนของภูมิภาค
๔.ส่งเสริม SMEs และ Startup ให้เข้มแข็งและเชื่อมต่อกับโลก
๕.ส่งเสริมการลงทุนตามศักยภาพพื้นที่ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึง
๖.ส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม
๗.ส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีศักยภาพให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ
โดยบีไอไอจะใช้เครื่องมือสำคัญ ๓ ด้าน เพื่อขับเคลื่อน ๗ หมุดหมายให้บรรลุผลสำเร็จคือ สิทธิประโยชน์ทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษี การบริการแบบครบวงจรทั้งก่อนและหลังการลงทุน การสร้างระบบนิเวศและปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน
สำหรับสถิติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง ๙ เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ปี ๒๕๖๕ มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุน ๑,๒๔๗ โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ๘% และมูลค่ารวม ๔๓๙,๐๙๐ ล้านบาท ลดลง ๑๔% เนื่องจากปีที่แล้ว มีโครงการขนาดใหญ่ในกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้ายื่นขอรับการส่งเสริมหลายโครงการ มูลค่ารวมกว่า ๑.๕แสนล้านบาท
หากพิจารณาจากสถิติการออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงกับการลงทุนจริงมากที่สุด จะพบว่าในช่วง ๙ เดือนที่ผ่านมา มีการออกบัตรส่งเสริม ๑,๑๐๑ โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๑๗ และมูลค่ารวม ๓๕๗,๕๕๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๗ เป็นสัญญาณว่าในช่วง ๑-๒ ปีข้างหน้าจะมีการลงทุนเกิดขึ้นจริงมากขึ้น
ในช่วง ๙ เดือน คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนใน ๑๒ อุตสาหกรรมเป้าหมาย มีมูลค่ารวม ๒๘๖,๖๙๙ ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีมูลค่ารวม ๒๗๕,๖๒๔ ล้านบาท โดยการลงทุนจากจีนมีเงินลงทุนมากที่สุด ๔๕,๐๒๔ ล้านบาท ตามด้วยไต้หวัน ๓๙,๒๕๖ ล้านบาท และญี่ปุ่น ๓๗,๕๙๑ ล้านบาท โดยมูลค่าการลงทุนจากจีนและไต้หวัน ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคาดว่าการลงทุนใน ๒ สาขานี้จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
สำหรับพื้นที่เป้าหมาย EEC มีการขอรับส่งเสริมจำนวน ๓๗๖ โครงการ เงินลงทุนรวม ๒๔๖,๖๕๕ ล้านบาท คิดเป็น ๕๖% ของการลงทุนทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในจังหวัดระยองและชลบุรี