หลังจากที่ปูตินสั่งเปิดปฏิบัติการเดือด โดยมีเป้าหมายโจมตียูเครนแบบต่อเนื่อง และภายในระยะเวลาสั้น ๆ ช่วง 2-3 วันนี้ กองทัพรัสเซียปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายในเมืองมากกว่า 40 แห่งของยูเครน จนอาวุธถูกทำลายไปจำนวนมาก ส่วนทางกองทัพยูเครนอ้างว่าโจมตีรัสเซียกลับ โดยทำลายเป้าหมายอย่างน้อย 25 แห่ง ที่เป็นของกองทัพรัสเซียแล้ว และได้ร้องขออาวุธจากสหรัฐฯอีกครั้งเพื่อมาเติมเต็มด่านหน้าในสนามรบ
แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ยูเครนจะสาหัส เพราะว่าอาวุธขาดแคลน และต้องเผชิญกับความมืดมนในบางค่ำคืน ที่ประกาศลดการใช้ไฟฟ้า อันเนื่องมาจากถูกรัสเซียถล่มในส่วนของพื้นที่จ่ายไฟ ทำให้ไม่มีไฟฟ้าใช้ และพลังงานไม่เสถียร จนทำให้พ่ายแพ้ต่อรัสเซียอีกทาง เมื่อถูกซุ่มโจมตี
และล่าสุดมีรายงานว่า กองทัพรัสเซียเริ่มทำการโจมตีที่เมือง Fastiv ในภูมิภาคเคียฟ โดยเมือง Fastiv นี้ ถูกจัดเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ที่สำคัญ ซึ่งใช้ในการจัดส่งกองกำลังทหารไปที่แนวหน้า ซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้รัสเซียพยายามวางหมากปิดล้อมทุกทาง ตัดขาดยูเครนออกจากพื้นฐานสำคัญหลายอย่าง เพื่อจะจัดการกับยูเครนได้ง่ายขึ้น
รวมทั้งยังมีข้อมูลแฉอีกด้วยว่า ทหารรับจ้างโปแลนด์ และต่างชาติ พอเจอแนวรบรัสเซียของจริง เริ่มไม่อยากสู้รบแล้ว โดยในเพจเฟซบุ๊ก สงครามแห่งความอยู่รอด ได้โพสต์ข้อความระบุว่า Zaluzhny ผู้บัญชาการกองทัพยูเครนรายงานต่อฝ่ายบริหารของเซเลนสกี เกี่ยวกับปัญหาที่มีความเข้มข้นสูงของอาสาสมัคร/ทหารรับจ้าง (โดยเฉพาะชาวโปแลนด์) ในพื้นที่สำคัญของแนวรบยูเครน
พวกเขาดีสำหรับการ “กวาดล้าง” ภูมิภาคคาร์คีฟ เนื่องจากพวกเขาพบการต่อต้านเพียงเล็กน้อยที่นั่น (เนื่องจากมีกองกำลังพันธมิตรจำนวนน้อย) และทำงานเป็นกลุ่มโดดเดี่ยว
ตอนนี้จำนวนทหารรับจ้างปฏิเสธที่จะโจมตีป้อมปราการที่สร้างโดยกองทัพรัสเซียในความขัดแย้งในยูเครนเพิ่มขึ้น
ปัญหาที่รุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ AFU คือกับแนวรบด้านใต้ซึ่งมีการรวม PMCs กลุ่มใหญ่ใน Nikolaev เพื่อโจมตีเคอร์ซอน แต่ทหารรับจ้างปฏิเสธที่จะเข้าไปในทุ่งโล่งเนื่องจากการชโจมตีของปืนใหญ่รัสเซียอย่างต่อเนื่อง