จตุพรลั่นไม่ไหวแล้ว!!!แจก5พันไร้ประสิทธิภาพ ยังกับขายหมากเก็บ!?!

0

ไม่เพียงฝ่ายที่หนุนหรือค้านรัฐบาล ที่เห็นถึงความผิดพลาดเยียวยา5,000บาทจากโควิด-19 ที่เห็นกันแล้วว่าไร้ประสิทธิภาพ และจะตัวดึงคะแนนนิยมลุงตู่ร่วงลงไปด้วยจากนโยบายของกระทรวงการคลัง นับวันยิ่งเห็นถึงการทำงานจริงๆ!?!

ทั้งนี้ยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจที่เฟซบุ๊ก Jatuporn Prompan – จตุพร พรหมพันธุ์ ได้โพสต์ข้อความโดยเป็นการแชร์มาจาก Peace News ว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวผ่านรายการลมหายใจพีซทีวี เวทีทัศน์ซึ่งมีบางช่วงที่สำคัญว่า สถานการณ์โควิด-19 เมื่อพิจารณาจากตัวเลขผู้ป่วยแล้วพบว่า ไวรัสแพร่ระบาดในไทยไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

เนื่องจากวันที่12 เม.ย.63 มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 33 รายจากประชากร 66 ล้านคน รวมผู้ติดเชื้อทั้งหมดคือ 2,551 ราย รักษาหาย 1,218 ราย สะท้อนถึงสถิติมีผู้ป่วย 2 คน รักษาหาย 1 คน และอยู่ระหว่างรักษาอีก 1 คน ส่วนผู้เสียชีวิตมีเพิ่มอีก 3 คนรวมเป็น 38 คน แปลว่าติดเชื้อ 67 คนตาย 1 คน และสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกจากประชากรรวมประมาณ 7 พันล้านคน ติดเชื้อ 1,380,314 คน ตาย 108,827 คน

“สิ่งสำคัญที่น่าห่วงกว่าโควิด-19 คือ ความอดยาก วันนี้เป็นที่ชัดเจน เพราะมาตรการของรัฐที่ออกมายังมีความสับสน ทำคนสงสัยการแจกเงิน 5 พันบาทให้ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งมีผู้มาลงทะเบียนกว่า 26 ล้านคน แต่ผ่านการพิจารณาพร้อมได้รับแจกเงินแล้วมีจำนวนน้อยมาก และยังไม่ทั่วถึง อีกทั้งคนไม่ควรได้รับ กลับได้ ส่วนคนที่ควรได้รับ กลับไม่ได้

ทั้งนี้นายจตุพร ย้ำว่า ตนพยายามอธิบายความอย่างสร้างสรรค์มาตลอด รวมทั้งได้สื่อสารให้ประชาชนและพรรคฝ่ายค้านร่วมมือกับรัฐบาลทำสงครามโควิด-19 ซึ่งมีหัวใจหลักว่า รัฐบาลต้องฟังประชาชนและประชาชนจะฟังรัฐบาลที่ฟังเสียงประชาชนแต่ถ้าการแจกเงินที่ไม่ใช่เงินของตัวเอง และไปแจกให้ประชาชนเจ้าของเงิน ผู้เสียภาษีอากรทั้งทางตรงและอ้อมยังสอบตก ยังผิดพลาด ยังล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ ผมว่าไม่ไหวแล้ว

ส่วนการกู้เงิน 1.6 ล้านล้านบาทหรือ 1.9 ล้านล้านบาทก็ตาม ตนเห็นว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องไปกู้ถึงขนาดนั้น รัฐควรพักโครงการลงทุนทุกชนิด แล้วนำเงินมาแจกประชาชนให้ยังชีพอยู่ได้ เพราะเงิน 5,000 บาทไม่ได้มากมาย เนื่องจากยังต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ คนยากจนหาเช้ากินค่ำจึงอยู่ยาก เงื่อนไขการแจกเงิน บอกว่าอายุไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ไม่อยู่ในวัยทำงาน แต่คนวัยนี้ต้องเรียนในมหาวิทยาลัย ต้องเช่าหอพัก แม้ว่าสถาบันการศึกษาจะหยุดเรียนแล้วก็ตาม แต่ยังใช้ชีวิตอยู่เพื่อหาวิธีการเรียนให้รู้เท่าทันกัน

รวมถึงหลักเกณฑ์ที่บอกว่า ไม่ได้ประกอบอาชีพหรือตกงานมาก่อนที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ถ้าเมียเป็นแม่บ้าน ทั้งครอบครัวสามีทำงานคนเดียว จึงเป็นปัญหาผลกระทบลูกโซ่ ซึ่งแปลความกันว่า หนึ่งครอบครัวหาเงินได้เพียงคนเดียวต้องนำมาเลี้ยงดูคนในครอบครัว แต่สถานการณ์เช่นนี้หาเงินได้น้อยลงหรือหาไม่ได้เลยจะทำอย่างไร

กระทั่งอาชีพเกษตรกรที่บอกว่ามีมาตรการรองรับ ความจริงแล้วประชาชนที่ประกอบอาชีพเกษตรกรส่วนใหญ่ต่างรู้กันชัดเจนว่า ช่วงหลายปีต่อเนื่องมานั้น เกษตรกรต้องเจอทั้งภัยแล้ง น้ำท่วมแล้วมาภัยแล้ง วนหมุนกันไปมา จึงมีพืชบางชนิดเท่านั้นที่ปลูกได้ ทุกคนต่างพินาศย่อยยับทั้งหมดมีตัวเลขชัดเจน รัฐบาลไปถามหากับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธกส.) ก็ทราบหมดว่า มีเกษตรกรจำนวนกี่ราย กลับบอกว่าเดี๋ยวจะมีมาตรการ

“วันนี้เราต้องการได้รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่โอ้เอ้ ลอยไปลอยมา มาตรการไม่อยู่กับร่องกับรอยโดยเฉพาะเรื่องการแจกเงิน 5,000 บาท ตอนแรกบอก 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้างก็กลับมา 3 เดือนอีก เป็นผู้บริหารประเทศแบบนี้ได้อย่างไร ทำยังกับขายหมากเก็บ”

นอกจากนี้ประธานนปช. ยังระบุถึงคำว่า เผด็จการเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ของคนไทย หากปล่อยให้เผด็จการทางเศรษฐกิจอยู่ครองประเทศยาวนาน ไม่ว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบบเผด็จการหรือว่าประชาธิปไตย เผด็จการเศรษฐกิจจะอยู่ครองเศรษฐกิจของไทยไปแบบนี้ ไม่ได้คำนึงถึงกฎหมายว่าด้วยอำนาจเหนือการตลาด ไม่คำนึงถึงวิธีการใดๆทั้งสิ้น ทำให้รวยยิ่งกว่ากระจุก

“ดังนั้นหากเฉลี่ยความรวย ขอให้ลดกำไรลงมาช่วงวิกฤตไวรัสโควิด-19 คืนให้แก่ประชาชน เพราะถึงเวลาประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คนเหล่านี้ก็ได้กำไรเพิ่มเช่นเดิม แต่ตนอยากบอกว่า ปล่อยให้ประเทศเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงต้องสู้กันในระยะยาว เพราะหากไม่สู้กันในระยะยาวการผูกขาดทางเศรษฐกิจก็เป็นเช่นนี้ต่อไป ที่ต้องพูดถึงเผด็จการเศรษฐกิจขึ้นมาเพราะเกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชนโดยตรง ส่วนประเด็นเรื่องการเมืองวางไว้ก่อนหลังไวรัสโควิด-19 จบค่อยว่ากัน”

ที่มาเฟซบุ๊ก : Jatuporn Prompan – จตุพร พรหมพันธุ์