ยังคงเดินหน้าอย่างดุเดือด สำหรับสงครามรัสเซีย-ยูเครน และมีรายงานด้วยว่า ในวันที่ 13 ต.ค. 2565 ที่ผ่านมาได้เพียงวันเดียวนั้น รัสเซียได้มุ่งเป้าโจมตียูเครนได้หลายสิบเมืองอย่างรวดเร็ว ตามรายงานของสื่อรัสเซีย ระบุว่า “ขีปนาวุธรัสเซีย” โจมตีกรุงเคียฟและอีกหลายเมืองมากกว่า 40 แห่งในยูเครน บ่งชี้สถานการณ์รุนแรงขึ้น ขณะที่กลุ่มพันธมิตรนาโต้ที่รวมตัวกันในกรุงบรัสเซลส์ เผยแผนการเสริมการป้องกันทางอากาศของยุโรป หลังมอบความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมแก่รัฐบาลเคียฟ
โดยนายอเล็กซานเดอร์ เวเนดิกตอฟ รองเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งรัสเซีย กล่าวกับสำนักข่าว TASS ของทางการรัสเซียว่า รัฐบาลเคียฟรู้ดีว่า การโจมตีดังกล่าว กำลังยกระดับไปสู่สงครามโลกครั้งที่สาม อย่างแน่นอน มอสโกให้เหตุผลซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อการบุกรุกในวันที่ 24 ก.พ. ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนนับหมื่น ในสิ่งที่เรียกว่า “ปฏิบัติการพิเศษ” โดยอ้างว่า ยูเครนมีความทะเยอทะยานต้องการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรนาโต้ เพื่อก่อให้เกิดภัยคุกคามความมั่นคงของรัสเซีย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นาโต้ไม่น่าจะเปิดให้ยูเครนเข้าร่วมเป็นพันธมิตรได้รวดเร็วในระหว่างที่ยังมีสงครามอยู่ เพราะนั่นหมายถึงจะทำให้สหรัฐ และพันธมิตรนาโต้ เผชิญหน้าโดยตรงกับรัสเซีย “ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ขีปนาวุธของรัสเซียได้โจมตีพื้นที่กว่า 40 แห่ง ในขณะที่กองทัพอากาศยูเครนทำการโจมตี 32 ครั้งในเป้าหมายของรัสเซีย 25 แห่ง” ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่า เมืองนีโคลาเยฟ ทางตอนใต้ของยูเครนถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งใหญ่ในวันนี้ จนได้รับความเสียหายอย่างมาก
ขณะที่เป้าหมายการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย ดูเหมือนจะไม่ไกลเกินจริง เพราะการรับมือของบางประเทศ มีความเข้มข้น จนทำให้เชื่อได้ว่า บางประเทศนั้นน่าจะมีข่าวกรองที่ทำให้รู้แน่ชัด ถึงขั้นเตรียมตัวรับมือแล้ว เช่น สหรัฐฯที่ทุ่มงบ 290 ล้านเหรียญ เพื่อซื้อยาต้านรังสี ตามมาด้วยรัฐบาลฟินแลนด์ ที่สั่งให้ประชาชนตุนยาต้านสารกัมมันตภาพรังสีเช่นกัน และล่าสุดโปแลนด์ ได้แจกจ่ายยากว่า 16 จังหวัดในประเทศของตนเอง เพื่อช่วยลดสารกัมมันตภาพรังสีจากอาวุธนิวเคลียร์ จึงทำให้ประเทศอื่น ๆ เริ่มตั้งข้อสังเกตว่า พวกเขาเหล่านี้ รู้เบาะแสอะไรมา และเตรียมตั้งรับอะไรกันอยู่ แต่ที่แน่ ๆ รัสเซียจะเดินหน้าจัดการยูเครนและนาโต้อย่างสุดความสามารถ ตามคำบัญชาการของปูตินและนายพลใหม่แห่งรัสเซีย ยิ่งตอกย้ำมุมมองที่ว่า ยูเครนทะเลาะเพื่อถล่มสะพานไครเมียเพียงครั้งเดียว จะเจอปูตินเอาคืนกว่าร้อยเท่า