ไบเดนเหวอ!! ผู้นำเอมิเรตส์พบปูตินชื่นมื่น เดินหน้าร่วมพัฒนาอุตฯพลังงาน ถีบส่งเมกาเทน้ำมันสำรองหมดคลัง

0

สหรัฐฯออกอาการมากเมื่อไม่สามารถสั่งประเทศกลุ่มอ่าวอาหรับได้เหมือนในอดีต แบล็กเมล์ก็แล้ว ขู่สารพัดจะถอนกำลังทหาร จะเลิกขายอาวุธระดับสูง จะลงโทษให้หนัก แกนหลักอย่างซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออีก็หาได้ใส้ใจไม่ ล่าสุดผู้นำยูเออีเดินหน้าพบปูตินถึง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คุยกันชื่นมื่นทำปูตินปลื้มอีกแล้ว สวนทาง สื่อตะวันตกโหมข่าวรัสเซียโดดเดี่ยวสู้คนเดียว ในสมรภูมิศึกเศรษฐกิจด้านพลังงาน สหรัฐและพันธมิตรแพ้ปูตินอย่างเห็นได้ชัด พยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายอุตสาหกรรมพลังงานของรัสเซียแต่ไม่สำเร็จ กลับทำให้พันธมิตรเก่าแก่อย่างประเทศกลุ่มอ่าวหนีห่างจากสหรัฐไปเคียงข้างรัสเซียมากขึ้นอย่างคาดไม่ถึง

เมื่อวิกฤตพลังงานจ่อที่จมูกเพราะเจ้าพ่อน้ำมันทั้งหลายเมินสหรัฐ ทำให้สหรัฐต้องยอมควักน้ำมันสำรองออกมาอย่างมากเพื่อประคองราคาไม่ให้กระฉูดดันเงินเฟ้อทะลุฟ้าจนคุมไม่อยู่ นักวิเคราะห์พากันฟันธงว่า หลังหน้าหนาวนี้ทั้งสหรัฐและอียูจะต้องใช้น้ำมันสำรองจนเกือบหมดเกลี้ยง

วันที่ ๑๒ ต.ค.๒๕๖๕ สำน้กข่าวซีจีทีเอ็นและรัสเซียทูเดย์รายงานว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน พบกับประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซายิด อัล นาห์ยาน ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ปธน.ปูตินกล่าวว่า “รัสเซียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กำลังทำงานอย่างแข็งขันภายใต้กรอบของโอเปคพลัส (OPEC+) เพื่อสร้างเสถียรภาพในตลาดพลังงานโลก และการตัดสินใจของประเทศต่างๆ ของกลุ่มไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ใคร”

ปูตินกล่าวว่า “ฉันรู้ว่าตำแหน่งของคุณ การกระทำของเรา การตัดสินใจของเรามุ่งเป้าไปที่ความมั่นคงในตลาดพลังงานโลก เพื่อให้ทั้งผู้บริโภคทรัพยากรพลังงานและผู้ที่เกี่ยวข้องในการผลิตของพวกเขา ตลอดจนซัพพลายเออร์รู้สึกสงบ มั่นคงและ มั่นใจ เพื่อให้อุปสงค์และอุปทานมีความสมดุล”

ปูตินยังเน้นว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขาที่จะหารือเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในซีเรียกับประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้วย

ด้านชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซายิด อัล นาห์ยาน (Mohammed bin Zayed Al Nahyan)ตั้งข้อสังเกตว่าเศรษฐกิจของประเทศของเขาสามารถเอาชนะการระบาดใหญ่ของโควิด-๑๙ ได้ และเพิ่มมูลค่าการค้าต่างประเทศเป็นสองเท่าแม้จะมีเงื่อนไขที่ยากลำบาก และความสัมพันธ์ระหว่างUAE กับรัสเซียนับวันพัฒนาแน่นแฟ้นทางยุทธศาสตร์มากขึ้น

ผู้นำทั้งสองได้ทบทวนประเด็นระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติจำนวนหนึ่ง สำนักข่าวดับเบิลยูเอเอ็ม(WAM) ของทางการUAE กล่าวว่า ชีค โมฮาเหม็ดฯ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อค้นหาวิธีแก้ปัญหาทางการเมืองต่อวิกฤตและความตึงเครียด โดยเน้นถึงความจำเป็นในการเจรจาระหว่างทุกฝ่าย  

ปธน.ปูตินตอบว่า “กว่า 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการฑูตของเรา การติดต่อของเราได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในโลกจะมีความซับซ้อน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อความมั่นคงของภูมิภาคและ โลกโดยรวม” “ฉันรู้ว่าความปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาทั้งหมด รวมถึงวิกฤตในยูเครน ฉันอยากจะชี้ให้เห็นว่านี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถใช้อิทธิพลของคุณ เพื่อก้าวไปสู่ การยุติสถานการณ์รุนแรงต่างๆได้” 

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังคงจุดยืนที่เป็นกลางเกี่ยวกับสงครามในยูเครน โดยงดเว้นการลงมติของสหประชาชาติที่วิพากษ์วิจารณ์มอสโกในช่วงเริ่มต้นของการเปิดปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน การวางตำแหน่งของUAEมีบทบาทสำคัญในวาระระเบียบโลกใหม่ ซึ่งเดิมนั้นUAEให้ความสำคัญทั้งวอชิงตัน มอสโกว์และปักกิ่ง แต่หลังจากการตัดสินใจของโอเปคพลัส ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอ่าวและสหรัฐฯปริแตกและตึงเครียดอย่างยากที่จะเหมือนเดิมอีกต่อไป

ปธน. โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ วิพากษ์การตัดสินใจของโอเปรพลัสอย่างไม่พอใจว่า “เป็นการตัดสินใจที่สายตาสั้น ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับผลกระทบด้านลบอย่างต่อเนื่องจากสงครามยูเครนของปูติน” และประกาศจะลงโทษด้วยการไม่สนับสนุนทางการทหารแก่ซาอุดิอาระเบียและUAE

ซูเฮล อัลมาซรอย(Suhail al-Mazroui) รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของ UAE ตอบโต้คำวิจารณ์ที่เพิ่มมากขึ้นโดยอธิบายการตัดสินใจของกลุ่มเอเปคพลัสนี้ว่า “เป็นเรื่องทางเทคนิค ไม่ใช่การเมือง”

ปธน.ไบเดนทำเป็นลืมว่า การเริ่มต้นสงครามพลังงานนั้นสหรัฐและพันธมิตรเป็นผู้จุดไฟก่อน กะจะผลาญรัสเซียให้ล่มสลาย กลับเป็นบูมเมอแรงหวนกลับมาขยี้เศรษฐกิจของสหรัฐและพันธมิตรเต็มๆ เรียกว่าสงครามพลังงานสหรัฐแพ้รัสเซียยับ เพราะพันธมิตรอ่าวอาหรับที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันของโลกหันมาซบรัสเซียแล้ว โดยเลิกใช้ดอลลาร์ซื้อขายน้ำมัน แต่ใช้หยวน-รูเบิลและเงินสกุลท้องถิ่นแทน ซ้ำยังไม่ทำตามคำขอให้เพิ่มกำลังผลิตโดยสหรัฐไม่ต้องควักน้ำมันสำรองออกมาใช้  นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่สหรัฐฯโกรธเกรี้ยวไม่ได้ห่วงชะตากรรมของโลกแต่อย่างใด!!!