จากกรณีที่เกิดเหตุเพลิงไหม้และระเบิดอย่างรุนแรง บนสะพาน “เคิร์ช” ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับช่องแคบในบริเวณนั้น ใช้เป็นเส้นทางสัญจรและขนส่งสินค้าหลัก เชื่อมระหว่างคาบสมุทรไครเมียกับแผ่นดินใหญ่ของรัสเซีย เมื่อวันเสาร์ที่ 9 ต.ค.2565 ที่ผ่านมา โดยในเวลาต่อมากระทรวงคมนาคมของรัสเซียออกแถลงการณ์ว่า มีผู้เสียชีวิต 3 ราย เบื้องต้นคาดว่าเป็นผู้ที่อยู่ในรถยนต์ซึ่งแล่นอยู่ใกล้กับรถบรรทุกคันที่เกิดระเบิด ขณะที่เกิดเพลิงไหม้ตู้เชื้อเพลิง 5 ตู้ จากทั้งหมด 59 ตู้ของรถไฟบรรทุกเชื้อเพลิง ที่แล่นอยู่ในบริเวณเกิดเหตุพอดีด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลมอสโกยืนยันว่า เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และเปิดใช้งานสะพานตามปกติ ทั้งถนนและทางรถไฟ หลังปิดไปนาน 10 ชั่วโมง และจะมีการทำลายส่วนที่เสียหายบนสะพานต่อไป พร้อมทั้งยังยังระดับคุมเข้มสถานการณ์โดยรอบ และพื้นที่อื่นในรัสเซียเพิ่มเติม
โดยเมื่อสะพานไครเมียกลับมาเปิดใช้งานและสว่างไสวอีกครั้ง ทำให้มีกระแสจับจ้องว่ารัสเซียไม่ได้สะท้านต่อสิ่งที่ยูเครนโจมตี และขู่ว่านี่คือการเริ่มต้นเอาคืน แต่รัสเซียกลับเดินเกมล้างแค้นแบบนิ่ม ๆ ยังคงวางกำลังทหารกระจายไปทั่วภูมิภาค โดยภายหลังเกิดเหตุ ทหารรัสเซียได้จัดการทหารเคียฟที่ภูมิภาคดอนบาสจนราบเป็นหน้ากอง
และได้มีรายงานว่า รัสเซียทำการทิ้งระเบิดใส่เมืองซาปอริซเซียที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของยูเครนในช่วงเช้าวันที่ 9 ตุลาคม ที่ผ่านมาด้วย ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 13 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน
อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการภูมิภาคซาปอริซเซียเปิดเผยว่า รัสเซียได้ทำการโจมตีด้วยขีปนาวุธถึง 12 ครั้ง ทำให้บางส่วนของอาคารสูง 9 ชั้นถูกทำลาย และมีที่อยู่อาศัยข้างเคียงอีกหลายแห่งได้รับความเสียหาย อาจมีผู้คนจำนวนมากที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง และมีการช่วยเหลือผู้คนออกมาแล้ว 8 คน ทั้งนี้การโจมตีของรัสเซีย คล้ายกับว่าจะเดินหน้าตอบโต้เดือดอย่างไม่ปราณี เมื่อยูเครนกล้าลูบคมทำลายสะพานไครเมียที่จะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ และอาจจะมีการตอบโต้ที่เดือดกว่าเดิมหลังจากนี้ เพื่อเอาคืนนาโต้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างสาสม