ฮืออากันทั้งโลกกับคำขู่อะมาเกดดอนของไบเดน แต่ผู้เชี่ยวชาญตะวันตกกลับออกมาฟันธงเลยว่า โลกกำลังตกอยู่ใน ‘อันตราย’ มากกว่าวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาเสียอีก แต่มันเกิดจากการกระทำของนาโต้ ไม่ใช่มอสโกว์
หลังจากเมื่อวันพฤหัสบดี ปธน. โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ บอกกับผู้เข้าร่วมประชุมที่งานระดมทุนของพรรคเดโมแครตว่า ปธน.วลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย จะทำให้เกิด “โอกาสของอาร์มาเก็ดดอน” เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาในปี ๑๙๖๒ ย้ำว่าปูติน “ไม่ได้ล้อเล่นเมื่อเขาพูดถึง การใช้อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีหรืออาวุธชีวภาพหรือเคมี” คำหลังนี้ปธน.รัสเซียไม่เคยพูด แต่ไบเดนแถม ทำให้น่าสงสัยว่าสหรัฐกำลังคิดจะทำสิ่งนี้ใช่หรือไม่???
ความเห็นของไบเดนและสื่อตะวันตก เป็นการบิดเบือนคำพูดของผู้นำรัสเซีย ปูตินประกาศว่า “หากบูรณภาพแห่งดินแดนในประเทศของรัสเซียถูกคุกคาม เราจะใช้ทุกวิถีทางที่มีอยู่ เพื่อปกป้องรัสเซียและประชาชนของเราอย่างไม่ต้องสงสัย นี่ไม่ใช่การหลอกลวง” “ผู้ที่พยายามแบล็กเมล์เราด้วยอาวุธนิวเคลียร์ควรรู้ว่า โต๊ะเจรจาสามารถเปิดได้” การปั่นสงครามนิวเคลียร์ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นกระบวนการ สอดรับกันเป็นทอดๆ
วันที่ ๘ ต.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวสปุ๊ตนิกรายงานว่า บรูซ แก็กนอน(Bruce Gagnon) ผู้อำนวยการ Global Network Against Weapons and Nuclear Power in Space ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่าแล้วสถานการณ์สงครามนิวเคลียร์นั้น “อันตรายกว่าปี ๑๙๖๒ ที่มีวิกฤตคิวบา แต่ต้นเหตุเป็นนาโต้ไม่ใช่เพราะมอสโกว์และครั้งนี้ก็เช่นกัน
แก็กนอนกล่าวว่า “ในช่วงวิกฤตขีปนาวุธคิวบา ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี อย่างน้อยก็สามารถปฏิเสธคำแนะนำของนายพลระดับสูงของเขาที่พยายามทำสงครามกับอดีตสหภาพโซเวียต ทุกวันนี้ พวกนีโอคอนควบคุมรัฐบาลสหรัฐฯ และพวกเขามีประวัติการเริ่มสงครามที่น่าเกลียดมาช้านาน แม้จะมีผลลัพธ์ที่เลวร้ายตามมาก็ตาม”
เขากล่าวเสริมว่า “วันนี้ สหรัฐฯ มีฐานยิงขีปนาวุธในโรมาเนียและโปแลนด์ที่สามารถยิงขีปนาวุธร่อนแบบโจมตีที่สามารถโจมตีรัสเซียได้ในไม่กี่นาที ในเวลาเดียวกัน สหรัฐ-นาโต้ ก็มีหน่วยข่าวกรองและกองกำลังพิเศษในยูเครนที่ทำสงครามกับรัสเซีย นอกจากนาโต้ที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ความเป็นจริงเหล่านี้ส่งสัญญาณว่าสงครามครั้งนี้รุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นในปี ๑๙๖๒/๒๕๐๕ มาก”
เขาระบุว่า “สหรัฐฯ เป็นอาณาจักรทางการทหารและเศรษฐกิจที่กำลังล่มสลาย” “หมดเวลาเป็น ‘ราชาแห่งขุนเขา’ แล้ว สมัยอาณานิคมอันยาวนานของยุโรปต่อโลกส่วนใหญ่ก็กำลังจางหายไปเช่นกัน”
“วอชิงตันกำลังประมาทและต้องการโต้กลับใครก็ตามที่กล้าต่อต้าน นอกจากนี้การครอบงำเต็มรูปแบบของวอชิงตัน ทำให้สหรัฐฯ ไม่มีทางเจรจาอย่างจริงจังเพื่อจำกัดอาวุธนิวเคลียร์ แก้ปัญหาสงครามเพื่อควบคุมทรัพยากร หรือการเคารพอธิปไตยของชาติอื่นๆอย่างแท้จริง”
แก็กนอนย้ำอีกว่า “การยอมรับสี่แคว้นผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซียและการระดมกองหนุน ๓๐๐.๐๐๐ คน ส่งสัญญาณว่าวันของเคียฟถูกนับถอยหลังแล้ว”
“วอชิงตันเป็นผู้แพ้ที่เจ็บปวดมากและมักจะตอบโต้กลับเมื่อพ่ายแพ้ เหล่านี้เป็นช่วงเวลาที่อันตรายมาก วอชิงตันและชนชั้นสูงของสหภาพยุโรปกำลังเต็มใจที่จะลากสงครามนี้ออกไปในอนาคต สหรัฐฯ ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในมอสโกว์ และแบ่งรัสเซียออกเป็นประเทศเล็ก ๆ ซึ่งจะทำให้ชาวตะวันตกที่หิวโหยทรัพยากรสามารถคว้าสินทรัพย์ตามธรรมชาติของรัสเซียได้”
ดร.โจเซฟ โอลิเวอร์ บอยด์-บาร์เร็ตต์ (Dr.Joseph oliver Boyd-Barrett) ศาสตราจารย์กิตติคุณจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโบว์ลิ่งกรีนกล่าวว่า “สหภาพโซเวียตไม่ใช่รัสเซีย สหภาพโซเวียตมีภารกิจที่จะเผยแพร่ปรัชญาคอมมิวนิสต์ ในขณะที่รัสเซียเป็นทุนนิยมเต็มตัว ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ แล้วไม่ได้คุกคามโลกตะวันตกเลย การปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงตามธรรมชาติของรัสเซียจึงเป็นเรื่องที่ชอบธรรม”
เขาฟันธงว่า “กองกำลังที่ก้าวร้าวคือฝั่งตะวันตก ซึ่งทำให้น้ำลายไหลในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของรัสเซีย หลังจากทำลายสหพันธรัฐรัสเซียให้ล่มสลาย”
สิ่งนี้บ่งบอกอะไร “เพราะเนื้อแท้ของทุนนิยมตะวันตกไม่ได้มีความมุ่งมั่นต่อผลประโยชน์สาธารณะที่แท้จริงนี้กำลังจะตาย ยิ่งวิกฤตด้านพลังงานที่ก่อขึ่นโดยตนเองของยุโรปรุนแรงขึ้นเท่าใด ความสิ้นหวังของชาติตะวันตกก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น เนื่องจากผู้นำเสรีนิยมใหม่ของยุโรปมองสหรัฐฯว่าช่วยไม่ได้ และกำลังดิ้นรนเพื่อดึงพวกเขาออกจากความยุ่งเหยิงที่พวกเขาเผชิญอยู่อย่างสาหัส”
บอยด์-บาร์เร็ตต์ กล่าวว่าเซเลนสกี้ “เล่นเกมเกี่ยวกับผลประโยชน์” ทำให้โลกตื่นตระหนกเพื่อขอเงินตะวันตกมากขึ้นอ้างเพื่อยูเครนไม่ว่ากองทุนที่ได้รับจากตะวันตกจะมีประโยชน์ต่อประชาชนยูเครนจริงหรือไม่ก็ตาม และไม่มีใครสามารถตรวจสอบเนื่องอยู่ในภาวะชุลมุน
เขากล่าวเสริมว่า “สหรัฐฯ ยินดีกับการพึ่งพาอาศัยยุโรป มันไม่ใช่เพื่อนของยุโรป มันแสวงหาอำนาจเป็นเจ้าโลกเท่านั้น สิ่งที่จำเป็นในตอนนี้คือความเป็นผู้นำของยุโรปที่กล้าหาญ ซึ่งสามารถหาวิธีพูดคุยกับรัสเซียได้อย่างเร่งด่วนและทันเวลา ก้าวข้ามความรู้สึก ‘พิเศษ’ ของสหรัฐฯ ในเรื่องความสำคัญและสิทธิ์ของตนต้องเป็นอันดับแรก”
บอยด์-บาร์เร็ตต์ถามว่า “มีใครเชื่อไหมว่าเซเลนสกี้และผู้ร่วมงานของเขาไม่ได้รวยเละจากเกมนี้”