จอมบงการป่วนโลก!!ลิซ ทรัสส์ประกาศเป็น ‘ไซออนนิสต์ผู้ยิ่งใหญ่’ เหมือนไบเดนและแฮร์ริส ปั่นสงครามรักษาอำนาจ

0

ในที่สุดผู้นำอังกฤษก็ฉีกหน้ากากตัวเองว่า เป็นไซออนนิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่พร้อมสนับสนุนรัฐยิวอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นการเปิดโฉมหน้ากลุ่มอำนาจเบื้องหลังที่ชี้นำและบงการรัฐบาลสหราชอาณาจักร ไม่ต่างอะไรกับที่ปธน.โจ ไบเดนและรองปธน.กมลา แฮร์ริสเคยกล่าวไว้อย่างภาคภูมิใจว่า “ฉันคือไซออนนิสต์แม้จะไม่ใช่ชาวอิสราเอล” กลุ่มไซออนนิสต์เป็นกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังชักใยให้สหรัฐเดินหน้าปลุกปั่นสงครามขัดแย้งในหลายภูมิภาคของโลกอย่างต่อเนื่อง โดยไม่สนใจว่าประชาชาติทั่วโลกแม้แต่ในสหรัฐและอังกฤษเองว่าจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากสาหัสเพียงใด ขอแต่ได้รับชัยชนะในศึกรีเซ็ตระบบโลก คุมอำนาจเดี่ยวไว้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ไม่น่าแปลกใจทำไมอังกฤษจึงเคียงข้างสหรัฐฯหนุนยูเครนอย่างเอาการเอางาน

วันที่ ๕ ต.ค.๒๕๖๕ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์รายงานว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ลิซ ทรัสส์ อธิบายว่าตนเองเป็น“ไซออนิสต์ผู้ยิ่งใหญ่”และ“ผู้สนับสนุนรายใหญ่ของอิสราเอล”ระหว่างการประชุมกับกลุ่มรัฐสภาที่สนับสนุนอิสราเอล ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ทรัสส์ เป็นแขกผู้มีเกียรติในงาน Conservative Friends of Israel หรือ CFI ระหว่างการประชุมพรรคทอรี่ (Tory Party) ประจำปีที่เมืองเบอร์มิงแฮม ซึ่งเธอเข้าร่วมเป็นครั้งแรกในตำแหน่งใหม่ของเธอ ในการพูดคุยกับฝูงชนข้างสนาม เธอประกาศความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ ต่ออุดมการณ์ไซออนนิสต์ของอิสราเอล และมีการเผยแพร่วิดีโอคำประกาศของเธอแพร่หลายบนโซเชียลมีเดีย

เธอกล่าวกับผู้เข้าร่วมที่ส่งเสียงเชียร์ว่า “อย่างที่คุณทราบ ฉันเป็นไซออนิสต์ตัวยง ฉันเป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลจำนวนมาก และฉันรู้ว่าเราสามารถนำความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษและอิสราเอลมาเสริมความแข็งแกร่งของทั้งสองประเทศ”

“ในโลกนี้ ที่ซึ่งเรากำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากระบอบเผด็จการที่ไม่เชื่อในเสรีภาพและประชาธิปไตย – สองระบอบประชาธิปไตยเสรีที่แท้จริง คือสหราชอาณาจักรและอิสราเอล จำเป็นต้องยืนเคียงข้างกัน และเราจะใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นในอนาคต”

การประชุมพรรคจะสิ้นสุดในวันพุธที่ ๕ ต.ค.นี้ โดยสถานภาพความนิยมของพรรคสั่นคลอน หลังจากทรัสส์ กลับคำตัดสินลดหย่อนภาษีในอัตราสูงสุด เนื่องจากการคัดค้านอย่างแข็งแกร่งจากพรรคของเธอเองและการขาดทุนครั้งประวัติศาสตร์สำหรับค่าเงินปอนด์อังกฤษดิ่งต่อเนื่อง

ตำแหน่งความนิยมของทรัสส์ในอิสราเอลเป็นที่รู้กันดี และเธอได้เป็นที่โปรดปรานมากยิ่งขึ้นนี้ในระหว่างการหาเสียง เพื่อเป็นผู้นำนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เธอให้คำมั่นว่าจะมีผลในหน้าที่ คือทบทวนการย้ายสถานทูตในประเทศอังกฤษจากเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเล็ม อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำสิ่งเดียวกันระหว่างดำรงตำแหน่งในทำเนียบขาว รวมทั้งยกที่ราบสูงโกลันของซีเรีย ให้อิสราเองอย่างย่ามใจ ไม่สนใจว่าผิดกฎบัตรสหประชาชาติ

นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ให้คำมั่นแบบเดียวกันเมื่อเดือนที่แล้ว ระหว่างการประชุมกับนายเอียร์ ลาปิด รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล นอกรอบการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่นิวยอร์ก กลุ่มที่สนับสนุนปาเลสไตน์และผู้นำปาเลสไตน์ต่างประณามแนวคิดของผู้นำอังกฤษที่เข้าข้างอิสราเอลอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ข่าวดังกล่าวกระตุ้นให้นักการเมืองและนักการทูตอาหรับเตือนอังกฤษว่าอย่าดำเนินการตามแผน “ที่ผิดกฎหมายและไร้เหตุผล” อาจเป็นอันตรายต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรและสภาความร่วมมืออ่าวอาหรับ  

การยึดครองและการรุกรานของอิสราเอลตะวันออกปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ถูกประณามอย่างกว้างขวางว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย สถาบันระหว่างประเทศ รวมทั้งพันธมิตรของอิสราเอลในตะวันตก ปฏิเสธการผนวกเยรูซาเลมตะวันออกในวงกว้างมากยิ่งขึ้น 

เมื่อฝ่ายบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมรับอย่างเป็นทางการว่ากรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประชาคมระหว่างประเทศ รวมทั้งอังกฤษเองด้วย มาวันนี้เมื่อไซออนนิสต์ได้เป็นผู้นำอังกฤษ จึงผลักดันควาทฝันของอิสราเอลอย่างสุดโต่ง ไม่สนถึงผลกระทบที่อังกฤษจะต้องแบกรับ

ฮุสแซม ซอมล็อต(Husam Zomlot) เอกอัครราชทูตปาเลสไตน์ ประจำกรุงลอนดอนกล่าวว่า “การย้ายสถานทูตใด ๆ จะเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักรอย่างโจ่งแจ้ง มันบ่อนทำลายวิธีแก้ปัญหาสองรัฐและจุดไฟให้สถานการณ์ที่ผันผวนอยู่แล้วในเยรูซาเล็ม ส่วนที่เหลือของดินแดนที่ถูกยึดครองและท่ามกลางชุมชนในสหราชอาณาจักรและทั่วโลก”

ส.ส. Naz Shah แห่งพรรคแรงงานของอังกฤษยังท้วงติง และได้เขียนจดหมายถึง ทรัสส์เรียกร้องให้เธอไม่ย้ายสถานทูต โดยอ้างถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เธอระบุว่า “การทำเช่นนั้นจะขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ของประเทศในตะวันออกกลาง ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันมีค่าแก่ผลประโยชน์ของอังกฤษ และสร้างแบบอย่างที่น่ากลัวกับฉากหลังของการยึดครอง” “ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสหราชอาณาจักรเองได้กำหนดไว้อย่างถูกต้องว่าดินแดนที่ถูกยึดครองโดยอิสราเอลผ่านการบังคับใช้ รวมถึงเวสต์แบงก์ เยรูซาเลมตะวันออก และฉนวนกาซา ถูกยึดครองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นจุดยืนที่สนับสนุนโดยเกือบทุกประเทศในโลก