จากกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับแต่งตั้งจากรัสเซีย ออกมายอมรับว่า กองกำลังยูเครนรุกคืบชิงพื้นที่คืนได้เพิ่มและขณะนี้ใกล้ถึงเมืองเคอรืซอนทางใต้แล้ว แต่ยืนยันพื้นที่ดังกล่าวยังอยู่ภายใต้การควบคุมของมอสโก ส่วนทางด้านยูเครนเผยมีความคืบหน้าต่อเนื่องในการชิงดินแดนทางตะวันออกคืน
ทั้งนี้พบว่า ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ได้ปราศรัยว่า สามารถปลดปล่อยชุมชนมากมายในหลายภูมิภาค และยังมีการสู้รบอย่างหนักในหลายพื้นที่ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมใด ๆ ขณะที่ผู้สื่อข่าวส่วนใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบริเวณแนวรบ และผู้นำในภูมิภาคเคอร์ซอนที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัสเซีย ยอมรับว่า กองกำลังยูเครนฝ่าเข้าไปใกล้เมืองดัดชานีริมแม่น้ำดนิโปรที่อยู่ห่างจากแนวรบก่อนหน้านี้ทางด้านใต้ราว 30 กิโลเมตร และสามารถยึดชุมชนหลายแห่งกลับคืนไปได้ แต่การยึดเมืองคืนของยูเครน ไม่ได้ทำให้รัสเซียหวาดผวา และมีท่าทีว่าจะเปลี่ยนแผนการรบ แต่ในช่วงระยะ 3 วัน หลังมีการผนวกดินแดนอย่างเป็นทางการ รัสเซียได้บุกโจมตียูเครนจะ ฝ่ายนั้นได้รับความสูญเสียหนักมาก
เช่น ในแคว้นคาร์คีฟ ทหารมากกว่า 140 นายและอุปกรณ์ทางทหารพิเศษ 19 หน่วย ถูกทำลายโดยการโจมตีด้วยขีปนาวุธ ในพื้นที่ ที่มีกำลังคนและกำลังทหาร อุปกรณ์ของกองพลยานยนต์ที่ 14 ของกองทัพยูเครน ในระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมา กองทัพยูเครน สูญเสียมากกว่า 500 นาย และอุปกรณ์ทางทหารประมาณ 60 ชิ้น
แคว้นลูฮานส์ จากการโจมตีด้วยขีปนาวุธ ถล่มกองพลจู่โจมภูเขาที่ 10 ของกองทัพยูเครน กลุ่มติดอาวุธกว่า 260 คน และอุปกรณ์ทางทหาร 14 หน่วย ถูกทำลาย พบว่าภายใน 1 วัน ทหารยูเครนสูญเสีย มากกว่า 790 นาย และภายใน 3 วัน ทหารยูเครนสูญเสีย มากกว่า 790 รวมทั้งหมดราว ๆ 2,150 นาย ที่บาดเจ็บจนหมดสภาพ ทำการสู้รบต่อไม่ได้ และเสียชีวิตด้วย
อย่างไรก็ตามมีรายงานอีกด้วยว่า ระหว่างการโจมตีในเมืองลีมานน์ มีรายงานว่ากองทัพยูเครน เสียชีวิต 200 นาย บาดเจ็บ 320 นาย รถถัง 10 คัน และ ยานรบทหารราบ 25 คัน เมื่อเทียบกับฝ่ายรัสเซีย มีข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมรัสเซียเปิดเผยว่า ทหารกองหนุนที่ถูกเรียกตัวภายใต้คำสั่งระดมพลของปูตินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กำลังฝึกการสู้รบอย่างเข้มข้นในลูฮันสก์และโดเนตสก์ ทั้งนี้ เครมลินเล็งระดมทหารกองหนุนราว 300,000 นาย แม้ปูตินไม่ได้ระบุขีดจำกัดสูงสุดก็ตาม