จากกรณีที่กองกำลังยูเครนสามารถทำลายฝ่าแนวป้องกันของรัสเซียในทางภาคใต้ของประเทศเข้ามาได้ ทำให้การรบมีความดุเดือดมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ยกระดับรุกคืบอย่างรวดเร็วในภาคตะวันออก ทวงคืนดินแดนเพิ่มเติมในพื้นที่ที่มอสโกผนวกไปไม่นาน ยูเครนได้อ้างว่า ฝ่ายของตนทำให้เส้นทางการลำเลียงอาวุธและเสบียงของทหารรัสเซียตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม
โดยในการบุกทะลวงครั้งใหญ่ที่สุดในภาคใต้นับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น กองกำลังยูเครนยึดคืนหมู่บ้านกลับมาได้หลายแห่ง ในปฏิบัติการรุกคืบไปตามแม่น้ำยุทธศาสตร์ “ดนิโปร” เมื่อวันจันทร์ ที่ 3 ต.ค. 2565 ตามการเปิดเผยเจ้าหน้าที่ยูเครนและพวกผู้นำในพื้นที่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัสเซีย
ความคืบหน้าในทางภาคใต้ สะท้อนการรุกคืบของยูเครนในภาคตะวันออกเมื่อเร็ว ๆ นี้ แม้มอสโกพยายามเพิ่มเดิมพันด้วยการผนวกดินแดน สั่งระดมทหารกองหนุนและขู่ใช้นิวเคลียร์ตอบโต้ก็ตาม ในสัญญาณที่บ่งชี้ว่ากระแสสงครามในแนวทางหน้าตะวันออกกำลังอยู่ในมือของยูเครนมากขึ้นเรื่อย ๆ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า พบเห็นขบวนยานยนต์ทหารของยูเครนกำลังมุ่งหน้าไปเสริมกำลังในเมืองลีมานน์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากยึดคืนเมืองศูนย์กลางเดินรถไฟแห่งนี้มาได้เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ จัดตั้งป้อมปราการเพื่อเดินหน้ารุกเข้าสู่ภูมิภาคดอนบาสต่อไป
ส่วนทางด้านประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี บอกว่ากองทัพยูเครนสามารถยึดหมู่บ้านมาได้หลายแห่งในหลายพื้นที่ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติม “ศูนย์กลางชุมชนใหม่ ๆ ได้รับการปลดปล่อยในหลายพื้นที่ ยังมีการสู้รบดุเดือดในหลายจุดของแนวหน้า”
ส่วน วาดิมีร์ ซัลดิ ผู้นำซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัสเซีย ในพื้นที่ยึดครองของแคว้นเคอร์ซอนของยูเครน ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐรัสเซีย ยอมรับว่าหมู่บ้านดัดชานีย์ ซึ่งตั้งอยู่ตามแนวฝั่งแม่น้ำดนิโปร ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารยูเครนแล้ว
ทั้งนี้ดูเหมือนว่า คำกล่าวอ้างของฝั่งยูเครนอาจจะมีความสับสนในเรื่องการยึดคืนพื้นที่อย่างมาก เพราะยังไม่สามารถบอกได้ว่า ยึดพื้นที่ใดคืนไปได้บ้าง และการอ้างว่าอาวุธรัสเซียเริ่มขาดแคลน อาจจะไกลเกินความจริง เพราะล่าสุดรัสเซียเพิ่งบุกทำลายยานเกราะของยูเครนได้อีกล็อตใหญ่ โดยมีคลิปวีดีโอเผยแพร่ภาพ ที่ซากยานเกราะ BTR-70 จำนวน 5 คัน และยานเกราะ BTR-80 จำนวน 1 คัน ของกองทัพยูเครน กระจายอยู่ตามริมถนน หลังถูกกองทัพรัสเซียลำายในแคว้นเคอร์ซอน