กรรมจำแนกความต่าง​ หมอทวีศิลป์-ปลื้ม​ มามืด-ไปสว่าง​ มาสว่าง-ไปมืด

0

กรรมจำแนกความต่าง​ หมอทวีศิลป์-ปลื้ม​ มามืด-ไปสว่าง​ มาสว่าง-ไปมืด

  • 1)พระพุทธเจ้าได้แยกบุคคลที่ต่างกัน​ 4​ ประเภท
    ​1.บุคคลผู้มืดมา มืดไป
    2.บุคคลผู้มืดมา สว่างไป
    3.บุคคลผู้สว่างมา มืดไป
    4.บุคคลผู้สว่างมา สว่างไป
    (ตมสูตร จตุกกนิบาต อังคุตตรนิกาย)​

2)บุคคลประเภท​ “มามืด​ ไปสว่าง” กับ​บุคคลประเภท​ “มาสว่าง​ ไปมืด” ชวนให้นึกถึง​คน​ 2​ คนที่ปรากฏเป็นข่าวขึ้นมาในช่วงนี้เป็นอย่างยิ่งนั่นคืิ​อ​ “ห​มอ​ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” ​โฆษก​ ศบค. กับ​ “หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล” (หรือ​ หม่อมปลื้ม)​ นักจัดรายการฝ่ายประชาธิปไตยชื่อดัง

3)บุคคลที่มืดมา​ สว่างไป​ คือบุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำ​ มีพื้นฐานในวัยเด็กที่ขัดสน​ ยากจน​ แต่สามารถข้ามพ้นแรงกรรมในอดีตชาติ​ ต่อสู้ชีวิตจนกลายเป็นผู้นำชื่อเสียง​มาสู่ชาติตระกูล​ รวมถึงฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น​ มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ​

4)หมอทวีศิลป์​ เป็นคนโคราช​ เป็นลูกชาวบ้าน​ มีฐานะยากจน​ ในวัยเด็กครอบครัวยากจนมาก​ ต้องเลี้ยงหมู​ พับถุง​ ทำงานสุจริต​ เพื่อได้เงินมาประทังชีวิตและเรียนหนังสือ​ พ่อแม่ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อส่งลูก​ 5​ คน เรียนจนจบปริญญาโททุกคน​ หมอทวีศิลป์​เรียนหนังสือจนได้เป็นแพทย์ชนบท

5)“…ผมต้องตื่นแต่เช้ามาเลี้ยงหมู พับถุงขาย และทำทุกอย่างที่สุจริต เพื่อให้ได้เงินมาซื้อข้าวกินและเรียนหนังสือ บางวันจนถึงขนาดที่ว่าพรุ่งนี้ยังไม่รู้จะเอาอะไรมากิน…”

6)พี่ชายคนโตของหมอจบปริญญาโทด้านการบริหาร​  พี่น้องอีก​ 3​ คนเรียนจบหมอ​ น้องคนเล็กจบปริญญาโท ด้านสถิติ

7)นอกจากอาชีพหมอ(จิตแพทย์)​ หมอทวีศิลป์ยังเป็นนักจัดรายการวิทยุถาม-ตอบปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต และสุขภาพ (รายการยู-ไลฟ์, รายการเฮลท์ ส​เตชั่น)​ และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเว็บไซต์สุขภาพจิต www.thaimental.com

8)หมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิน​เป็นที่รู้จักในสังคมเมื่อมารับหน้าที่โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.​ ซึ่งสามารถทำหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพ​ ครอบคลุมประเด็นทั้งด้านแพทย์และด้านสังคมการเมือง จนทำให้​นักวิชาการ-ดารา-คนดัง​ ฝ่ายประชาธิปไตย​ ที่​ “มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ” ทนไม่ได้ออกมาวิพากษ์​ วิจารณ์อย่างรุนแรง​  จนเกิดปรากฏการณ์​ #saveหมอทวีศิลป์​ ขึ้น

9)หมอทวีศิลป์ได้บอกว่า​ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะเขาคนเดียว​แต่มีทีมงานที่จัดข้อมูลให้คือ​ กองระบาดวิทยาของกรมควบคุมโรค (Situation Awareness Team)​ หรือ ทีม SAT ส่งข้อมูลมาให้ตอนตี 2 ตี 3​  ต้องตื่นมาเตรียมข้อมูล​ ประชุมมารวบรวมข้อมูลที่กระทรวงสาธารณสุขตอน 07.30 น. และที่ทำเนียบรัฐบาลตอน 08.30 น. ทุกวัน

10)“…ผมเองในฐานะเป็นจิตเเพทย์ รับทราบเเละยอมรับทุกเรื่อง หน้าที่เเถลงข่าวตรงนี้ ก็ไม่ใช่อาชีพผมเหมือนกัน เรื่องเเถลงข่าวเป็นภาระหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายมาก็พยายามทำให้ดีที่สุด…”

11)ส่วนคนที่​ “มาสว่าง​ ไปมืด” ก็กลับกัน​ คืออดีตชาติที่เคยสร้างบุญอาจหนุนส่งให้เกิดในชาติตระกูลที่ดี​ มีฐานะ​ ยศฐาบรรดาศักดิ์​ แต่หลงระเริงในความสุข​สบาย​ หรือยึดมั่นถือมันกับอัตตา​ตัวเอง​ จนกลายเป็นคนที่ทำให้ชาติตระกูลเสียชื่อเสียง​ ตกต่ำ​

12)หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล (ปลื้ม)​ เป็นลูกชายของหม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี (ในรัฐบาลชั่วคราว หลังรัฐประหารปี 2549)​ และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย​  การศึกษานอกจากในชั้นประถมที่เรียนในประเทศไทย​ (โรงเรียน​ สาธิต​ มศว​ ประสานมิตร)​ ปลื้มล้วนเรียนที่สหรัฐอเมริกาทั้งสิ้น​ ทั้งมัธยม​ ปริญญาตรี​ ปริญญาโทที่จบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ (The Paul H. Nitze School of Advanced International Studies (SAIS))

13)ปลื้มเริ่มทำงานรับราชการที่กรมข่าวทหารบก​ โดย​ทำหน้าที่ล่ามและผู้ร่างคำแถลง(มียศ​ร้อยตรี)​  แต่เป็นที่รู้จักในสังคมในฐานะผู้ดำเนินรายการข่าวด้านเศรษฐกิจ​ ต่างประเทศ​ โดยเฉพาะรายการ​ “The Daily Dose” ทาง​ VoiceTV, รายการ​ “Wake up Thailand” ร่วมกับ ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข, ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์, อธึกกิต แสวงสุข​ รวมถึงได้ร่วมเป็นพิธีกรข่าวในรายการดังทางช่อง​ 3​ คือ​ “เรื่องเล่าเช้านี้” และ “เรื่องเด่นเย็นนี้ เสาร์-อาทิตย์”

14)ปลื้มเคยลงลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่า​ กทม.ในปี 2552 ซึ่ง ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ได้หมายเลข 8  ในช่วงแรกมีคะแนนนำในโพลล์ แต่ผลการเลือกตั้งสุดท้ายได้คะแนนเป็นลำดับที่ 3

15)ในปี​ 2559​ เมื่อ​ ป.ป.ช.มีมติให้ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรรายการข่าวช่อง 3 ผิดในคดีทุจริตค่าโฆษณารายการใน อสมท จนถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 13 ปี 4 เดือน​ ปลื้มได้เขียนข้อความว่า​ ป.ป.ช.​”เชือดไก่ให้ลิงดู นำสื่อที่เป็นคนรวยมาสังเวยต่อสาธารณชน” จนทำให้​ “หม่อมอุ๋ย” ผู้เป็นพ่อต้องออกมาบอกว่า

16)”…ตนเสียใจที่บุตรชายไม่ดูเรื่องอะไรให้ละเอียดลออ เป็นเหยื่อข้อมูลง่าย ๆ แล้วด่วนสรุปไป ที่สำคัญกว่าคือเขาไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มันคือเรื่องของจริยธรรม การที่คนที่ถูกศาลตัดสินจำคุก ในความผิดที่เป็นเรื่องจริยธรรม ไม่ควรจะปล่อยให้ลอยหน้าลอยตาอยู่ในทีวีต่อไป เพราะถ้าคนที่บกพร่องทางจริยธรรมอยู่ในทีวีเป็นผู้นำความเห็นได้ ประชาชนกับเด็กรุ่นใหม่เขาจะคิดยังไง เขาก็จะคิดว่าผิดก็ไม่เป็นไรหรอก ประเทศมันก็อยู่ไม่ได้ ตนว่าบุตรชายก็คิดตื้นไปหน่อย ศาลตัดสินครั้งนี้เขาไม่ได้ชุุ่ย เขามีหลักฐานชัดว่ามีการเอาเงินไปติดสินบน แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่เข้าใจเขาว่าสื่อมวลชนมันต้องมีตัวอย่างของจริยธรรม มันแย่ไปหมด…” (ผู้จัดการออนไลน์​ 4​ มี.ค.2559)​

17)ซึ่งล่าสุดนั้น​ ปลื้มได้ออกมาวิจารณ์มาตรการในช่วงแพร่ระบาดของเชื้อCovid-19​ อย่างต่อเนื่องโดยที่
8​ เม.ย.2563​ ปลื้มได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คว่า​

“…1408 รายรักษาตัว ติดเชื้อเพิ่ม 38 เสียชีวิตเพิ่ม 1 เสนอเลื่อนเปิดเทอมไปหาอะไร? ! การเรียนสำคัญ คิดหน่อยสิครับ เอะอะก็เลื่อน ก็ปิด…”

18)และ​ ปลื้มยังโพสต์ผ่านทวิตเตอร์ว่า “…ให้เด็กกลับไปเรียน พอกันทีกับการปิดโรงเรียนอย่างไร้เหตุผล รัฐพรากการศึกษาไปจากลูกลูก หลานหลานของเรามานานพอเเล้ว ทั้งมหาวิทยาลัย โรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนอินเตอร์ รวมทั้งการเตรียมการเรียนการสอนในโรงเรียนของรัฐเเละเอกชนไทยปกติที่ต้องมีอยู่ในเวลานี้…”

“…ไม่มีเหตุผลรองรับสำหรับการให้ปิดสถานการศึกษาอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่การระบาดในประเทศไทยนั้นคุมอยู่ได้เเล้ว อัตราการติดเชื้อใหม่ เเละเสียชีวิตถือว่าต่ำมาก และต่ำกว่าโรคอื่นเยอะหลายโรค รัฐบาลกรุณาถอยบ้าง...”

“…ไม่ใช่เเค่เศรษฐกิจที่ทำพังลงไปกับมือ แต่การดีเลย์การศึกษาออกไป คนที่ต้องจ่ายคือเด็กและเยาวชน รัฐต้องหยุดนโยบายที่มักง่าย และสิ้นคิด เอาโรงเรียนของลูกเราคืนมา แล้วเอาเศรษฐกิจของเรากลับมาอีกด้วย มันคุมไวรัสได้ถึงเเม้ว่าเปิดทุกอย่าง ฝึก Physical Distancing ให้กับทุกคน…”

“…เด็กไม่ได้เรียนหนังสือ เเต่พวกคุณได้มาทำงานเหรอครับ ? ขอร้อง..ทุเรศ…” (ผู้จัดการออนไลน์.8​ เม.ย.2563)​

19)9​ เม.ย.​2563​ ปลื้มได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คอีกว่า

“…ไวรัสไม่ได้คุกคามมนุษย์เท่ากับอำนาจรัฐเเละฝูงชนที่พยายามควบคุมพฤติกรรมปกติในสังคมความกลัวนำมาสู่การใช้ชีวิตอย่างหดหู่…”

และ​ “…ผู้ติดเชื่อ HIV ทั่วโลกสูงถึง 37.9 ล้านคน ในนั้น 36.2 ล้านคนทั่วโลกเป็นผู้ใหญ่ 1.7 ล้านคนเป็นเด็กที่มีเชื้อ HIV / ในปี 2018 มีผู้ติดเชื้อ HIV เพิ่ม 1.8 ล้านราย จำนวนผู้ตายจากอาการที่เชื่อมโยงกับ HIV/AIDS อยู่ที่ 770,000 คนในปีนั้น www.hiv.gov ถ้ารัฐสั่งห้ามมีเพศสัมพันธ์มีสิทธิไหม? ไม่มีอยู่เเล้ว เป็นไปไม่ได้ มนุษย์มีหน้าที่ป้องกันตนเอง เเต่การดำรงชีพต้องเดินหน้าต่อไป…”

“…ความเสี่ยงเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตเสมอ โรคมีอีกเยอะ ถุงยางอนามัยมีอัตราป้องกันการติด HIV ได้ประมาณ 80 – 90% เท่านั้นรู้มั๊ย? เเล้วมนุษย์เลิกมีเพศสัมพันธุ์หรือไม่ทั้งที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเเละตาย ไม่เลิกเเละเลิกไม่ได้เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตในฐานะสัตว์สังคมพันธู์มนุษย์ ลดความตื่นตระหนกก่อนที่จะทำให้อำนาจรัฐถูกใช้ไปในทางที่หลงเเละละเมิดสิทธิในการใช้ชีวิต ประกอบอาชีพเเละเข้าถึงการศึกษามากกว่านี้้…” (ไทยโพสต์.​ 9​ เม.ย.2563)​

20)ทำให้นึกถึงคำพูดเดิมของ​หม่อมอุ๋ยผู้เป็นพ่อที่เคยพูดเอาไว้​ก่อนหน้านี้​ว่า​ “…ผมก็ว่าเขาไปแล้วก็ดูเงียบไปแต่ไม่รู้ว่าจะรู้สึกแค่ไหนเพราะว่าก็อายุ 40 แล้ว ผมก็สอนมันตั้งแต่เด็ก พยายามเต็มที่ จริง ๆ แล้วก็เป็นอุทาหรณ์น่ะ ส่งลูกไปเรียนเมืองนอกทางตะวันตกเร็วไป ตั้งแต่ 12 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงกำลังซึมซับทัศนคติแบบที่นั่น ซึ่งผมรู้สึกว่าทางตะวันตกแบบปัจจุบันเขาให้คุณค่าเรื่องจริยธรรมน้อยลงไปกว่าสมัยก่อน และไม่หนักแน่นเหมือนในเมืองไทย นี่ก็จะพยายามตามแก้เท่าที่แก้ได้ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว…” (ผู้จัดการออนไลน์​ 4​ มี.ค.2559)​