จากกรณีที่มีการลงประชามติของพื้นที่ขัดแย้ง 4 แห่งในยูเครน ระหว่างวันที่ 23-27 ก.ย. ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย
ล่าสุดทาง Blockdit World Update ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว โดยบอกว่า จากกรณี 4 ดินแดนจัดการลงประชามติประชาชนอยู่อาศัยในพื้นที่ 2 สาธารณะรัฐ คือ โดเนตสก์ , ลูฮันสก์ และ 2 แคว้น คือ ซาโปริชเซีย , เคอร์ซอน โดยมีการจัดคูหาลงคะแนนในพื้นที่ และบริการจัดลงคะแนนถึงบ้านสำหรับผู้ป่วยติดเตียงคนชรา ผู้พิการ ส่วนผู้อพยพลี้ภัยเข้าไปในเขตรัสเซียแล้วก็จัดหน่วยลงคะแนนอีก 218 หน่วย
วันที่ 27 ก.ย.2022 หลังจากปิดหีบลงคะแนน ได้มีการนับคะแนนต่อหน้าสักขีพยานจากนานาชาติทั่วโลกที่เดินทางมาสังเกตุการณ์ ขั้นตอนการทำประชามติ ความโปร่งใสการนับคะแนนอย่างใกล้ชิด และนับเสร็จสิ้น 100% ผลการลงคะแนนประชามติ 4 ดินแดนแยกเอกราชจากยูเครน และเข้าร่วมเป็นดินแดนสหพันธรัฐรัสเซียมีผู้เห็นด้วยดังนี้
1. โดเนตสก์ 98.69%
2. ลูฮันสก์ 97.93%
3. ซาโปริชเชีย 97.81%
4. เคอร์ซอน 96.75%
ขั้นตอนจากนี้แต่ละดินแดนจะมีการทำหนังสือพร้อมร่างกฎหมายแต่ละแคว้นส่งไปยังสภาดูมา รัฐบาลกลางรัสเซีย ในวันที่ 29 – 30 ก.ย.นี้ สภาดูมาจะจัดประชุมสภาวิสามัญเพื่อพิจารณารับรองร่างกฎหมาย เพื่อเห็นชอบแล้วก็จะส่งให้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียลงนามในราชบัญญัติและประกาศใช้ตามรัฐธรรมนูญ
ผลที่ตามมาคือ ทั้ง 4 ดินแดนจะเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซีย ที่เดิมมี 83 ดินแดน ก็จะเพิ่มเป็น 87 ดินแดน , ประชาชนราว 9 ล้านคน จะอยู่ในเขตอำนาจกฎหมายของรัสเซีย เป็นพลเมืองรัสเซียใหม่โดยสมบูรณ์ , เขตชายแดนรัสเซียจะขยายออกมาครอบคลุมดินแดนใหม่นี้ทั้งหมด ดินแดนใหม่นี้จะไม่เรียกว่าปฏิบัติการทางทหาร แต่จะเปลี่ยนเป็น “การรักษาความมั่นคงของชาติ” แทน
แหล่งทรัพยากรธรรมชาติมูลค่าราว 812 ล้านรูเบิล จะถูกถ่ายโอนตกเป็นของรัฐบาลรัสเซีย เช่น แหล่งแร่ พลังงาน อุตสาหกรรม การขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่เกษตรกรรม ธัญพืช กิจการประมง ท่าเรือ ฯลฯ เฉพาะเขตโดเนตสค์ และลูฮันสค์ในปีที่ผ่านมาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากถึง 16% ของ GDP ของยูเครน นับแต่นี้จะโอนไปเพิ่ม GDP ให้รัสเซียแทน
ฤดูหนาวที่จะมาถึงพื้นที่ยูเครนควบคุม จะขาดพลังงาน และไฟฟ้า ขาดปัจจัย 4 และเศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่ดินแดนใหม่รัสเซียนี้จะตรงกันข้ามกันแบบคนละโลก จะมีประชาชนทะยอยอพยพลี้ภัยข้ามแดนเข้ามาอยู่อยู่อาศัย และทำงานเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ การใช้อาวุธต่อดินแดนรัสเซียใหม่นี้ จะเท่ากับรุกราน รัสเซียมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะยกระดับป้องกันตนเองโดย “ประกาศสงคราม”
และสามารถ “ใช้อาวุธร้ายแรง” ที่มีทั้งหมดโจมตีพิสัยใกล้ กลาง และไกล ไปยังทุกชาติเหล่านั้นพร้อมกันได้ทันที เพราะเข้าตามเงื่อนไขข้อกฎหมายคือ “รัสเซียถูกรุกรานก่อน” เท่าที่กองทัพรัสเซียเตรียมของเล่นไว้ตอนนี้และขนออกมาจากคลังแสงกระจายไปยังผู้รับผิดชอบแล้วคือ คือ ลูกปืนใหญ่ติดหัวรบนิวเคลียร์ขนาดเล็ก , เรือรบรัสเซีย 4 ลำ แถว Alaska พร้อมรับคำสั่งยิงหัวรบนิวเคลียร์ , หัวรบนิวเคลียร์ Kh22-M
ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค Kinzhal ติดตั้งหัวรบธรรมดาและหัวรบนิวเคลียร์ขนาด 100 -500 กิโลตัน กับเครื่องบินขับไล่ MiG-31 ที่ฐานทัพในมลฑลคาลินินกราดของรัสเซีย ติดทะเลบอลติก พิสัยทำการสูงสุด 3,000 กิโลเมตร ยิงได้รัศมีครอบคคลุมทุกชาติในยุโรปด้วยความเร็วสูงสุด 12 เท่าความเร็วเสียง
นาย Stefan Schaller ผู้จัดการของ Energie Waldeck-Frankenberg (EWF) ผู้สังเกตการณ์ชาวเยอรมันระบุว่า “การมีส่วนร่วมในการลงประชามติในหมู่ผู้อยู่อาศัยในแคว้นซาโปริชเชีย เป็นไปโดยสมัครใจ ไม่มีแรงกดดันใดๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา และตรงกันข้ามกับรายงานของสื่อตะวันตกที่อ้างว่าผู้คนกำลังถูกบังคับให้ลงคะแนนที่นี่ และในบรรยากาศที่ตึงเครียด”
“แต่ในข้อเท็จจริงการอยู่ที่นี่ฉันสามารถเห็นด้วยตาของตัวเองว่าผู้คนลงคะแนนโดยสมัครใจ และเราสามารถเห็นความแตกต่างระหว่างวิธีการรายงานข่าวต่างๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสถานที่นี้ว่าตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง” เขาบอกกับนายกเทศมนตรีเมืองเมลิโตโปล นาง Galina Danilchenko ว่า “มันแปลกมากที่อ่านรายงานของสื่อตะวันตกที่อ้างว่ามีแรงกดดันต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่นี่ ”
นาย Stephen Schaller ทำงานเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทพลังงาน EWF ของเยอรมนี เขาลาพักร้อนเพื่อดูการเลือกตั้งตามคำเชิญของรัสเซีย เพราะในปี 2021 เขาเคยมาสังเกตุการณ์ดูแลการเลือกตั้ง State Duma , การเดินทางมาบอกความจริงต่อชาวโลกของเขาทำให้เกิดความไม่พอใจในเยอรมนี
ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลบริษัทพลังงาน EWF นายจ้างเขาระบุว่า”พฤติกรรมของเขาไม่สอดคล้องกับนโยบายของบริษัท” และลงนามไล่เขา ซึ่งตามกฎหมายเยอรมนีไม่ง่ายที่จะทำเช่นนั้นเพราะมีขั้นตอนคุ้มครองหลายชั้นและต้องจ่ายชดเชยให้เขาหนักมาก
