สืบเนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลสำคัญ ผ่านสื่อรัสเซียเอง ที่อ้างไว้ว่า หลังจากความเพลี่ยงพล้ำในสงครามกับยูเครน ปูตินลงมาคุมวางแผนกลยุทธ์ด้วยตัวเอง ทำให้น่าจับตามองว่า หลังจากนี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงใดบ้าง แต่การประกาศรวมกำลังครั้งใหญ่ จะต้องมีแต่การบวกเดือดแน่นอน ทำให้บรรดากูรูสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังมองแบบไว้วางใจว่า รัสเซียอาจจะเปลี่ยนแผนปั่นหัวยูเครนได้ทุกเมื่อ และหลังจากนี้ มันไม่ใช่เพียงแค่สงครามกับยูเครน แต่เป็นสงครามกับนาโต้โดยตรง
ทั้งนี้สื่อใหญ่ อย่างเอเชียไทมส์ มองว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ที่เพิ่งออกคำสั่งเรื่องการระดม ด้วยการเรียกระดมให้ทหารกองหนุนจำนวนไม่เกิน 300,000 คนกลับเข้ามาเป็นทหารประจำการ โดยคำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน แต่ปูติน กลับแจกแจงว่า เขาไม่ได้มองว่าการเข้าแทรกแซงในยูเครนของรัสเซียคราวนี้ เป็น “การปฏิบัติการพิเศษทางการทหาร” แบบจำกัดอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นการสู้รบเพื่อต่อต้านกลไกทางทหารทั้งหมดทั้งสิ้นของฝ่ายตะวันตกที่นำมารวมเข้าด้วยกัน เพราะเคยมีข้อมูลหนึ่งหลุดออกมาว่า การรบในพื้นที่คาร์คีฟก่อนหน้านี้ มีการส่งกองกำลังนาโต้มาร่วมรบด้วย
ดังนั้นการเคลื่อนพลครั้งใหญ่ 300,000 นาย ไม่อาจจะไปชี้ได้ว่า เพราะรัสเซียกำลังอ่อนแอ แต่ทำให้น่าจับตาว่า ทิศทางศึกหลักจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ปูตินต้องการขยายวงกว้างของรบให้เพิ่มขึ้น โดยปูตินอธิบายอย่างชัดเจนว่า เขาทราบดีว่า ฝ่ายตะวันตก อันดับแรกก่อนใครเพื่อนก็คือสหรัฐฯนั้น ไม่ได้ต้องการที่จะหาทางรอมชอมในทางยุทธศาสตร์กับทางรัสเซีย หากแต่มุ่งที่จะทำลายและตัดแบ่งเฉือนรัสเซียซึ่งเขาเป็นผู้นำมาอย่างยาวนาน
ด้วยเหตนี้ ปูตินจะไม่เพียงแค่สู้รบในสงครามที่จำกัดวงอีกต่อไปแล้ว และสามารถคาดหมายได้ว่า เขาจะระดมทรัพยากรต่างๆ ทั้งหมดทั้งสิ้นของเขามาใช้ในการสู้รบคราวนี้ ประโยคสุดท้ายในคำปราศรัยของเขามีความชัดเจนมาก ๆ นั่นคือ ปูตินเวลานี้มองตัวเขาเองว่าอยู่ในระนาบทางประวัติศาสตร์อย่างเดียวกับผู้นำชาวรัสเซียคนอื่น ๆ ในอดีต ซึ่งได้ปกป้องรักษามาตุภูมิให้รอดพ้นจากการถูกทำลาย
ขณะที่การระดมพลของรัสเซียเป็นเรื่องที่จะต้องใช้เวลาเช่นกัน ถึงแม้เป็นการเรียกพลแค่บางส่วนและเรียกแต่พวกทหารกองหนุนผู้ซึ่งเคยเป็นทหารประจำการกันมาก่อนแล้วก็ตามที แต่การระดมพลเช่นนี้ก็เป็นการสร้างโอกาสภายในระยะเวลาสองถึงสามสัปดาห์ ที่จะปรับเปลี่ยนไปสู่การมีกองกำลังซึ่งผ่านการฝึกมาแล้วและติดอาวุธยุทโธปกรณ์แบบครบเครื่อง
และสงครามนี้ในตอนนี้จะกลายเป็นสงครามสู้รบกันแบบครอบคลุม พวกโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนจะกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีด้วย ขณะที่รัสเซียจะใช้ประโยชน์จากกำลังทางอากาศและกำลังทางนาวีของตนอย่างเต็มที่ แต่การปรับเปลี่ยนกระแสคลื่นสงคราม แม้ว่าจะยังไม่ทำให้รัสเซียได้เปรียบเต็มที่ก็ตาม
แต่อีกมุมหนึ่งก็คือ ระยเวลาที่ผ่านมากว่า 7 เดือน นาโต้ยังคงไม่ได้เข้าไปแทรกแซงสมรภูมิรบโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นทางภาคพื้นดินหรือทางอากาศ ขณะที่ฤดูหนาวที่เย็นยะเยือก และอันตรายกำลังใกล้เข้ามา คืบคลานไปหาพวกชาติที่คิดคว่ำบาตรรัสเซีย และนาโต้เองก็น่าจะรู้ดีว่า หากจะเผด็จศึกรัสเซีย คงทำได้ไปนานแล้ว ไม่กินเวลามานานกว่า 7 เดือน ดังนั้นน่าจับตามองกระแสคลื่นรอบนี้ ว่าเกมจะพลิกถึงขั้นทำให้นาโต้ชะตาขาดได้หรือไม่ เพราะหากนาโต้ต้องเปิดหน้าสู้กับรัสเซียจริง ๆ เท่ากับว่าที่ผ่านมา ฝีมือการประลองกลางสมรภูมิรบยูเครน นาโต้ยังเป็นรองอยู่มาก เพราะปล่อยให้อาวุธถูกฝ่ายทหารรัสเซียยึดไปได้ดื้อ ๆ และหากต้องเจอกับกำลังพล 300,000 นาย เข้าไป นาโต้ยังจะช่วยยูเครนไหวอยู่หรือไม่ ในเมื่อตัวเองก็กำลังจะไม่รอดเช่นกัน