หลังจากการประชุมพันธมิตรเซี่ยงไฮ้หรือ SCO ผ่านไปเพียง ๑ วันสหรัฐก็ออกอาการ ปธน.ไบเดนประกาศกร้าวว่ากองทัพสหรัฐจะช่วยไต้หวันหากจีนบุกรวมชาติอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในขณะที่ทำเนียบขาวอ้อมแอ้มว่า สหรัฐยังยอมรับนโยบายจีนเดียว ขณะเดียวกันนายทหารสหรัฐ และสมาชิกสภาคองเกรสก็ออกมาประกาศว่าสหรัฐต้องช่วยไต้หวัน เพราะจีนขยายอำนาจสร้างกองเรือขนาดใหญ่ในเอเชีย-แปซิฟิกขยายอิทธิพลเกินไป
แน่นอนทางการจีนออกมาตอบโต้ทันที ประณามและยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังวอชิงตัน ซึ่งก็ทำเป็นหูทวนลม ด้านกองทัพสหรัฐก็นัดซ้อมรบกับเกาหลีใต้ด้วยกองเรือพิฆาตขนาดใหญ่ ตั้งใจมาโชว์พาวข่มขู่จีนและให้หลักประกันกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ว่า ลูกพี่สหรัฐมาแน่ การเคลื่อนไหวทางทหารของสหรัฐผ่านกลุ่มออคัสก็คึกคักต่างจากในอดีต
ปรากฏการณ์เหล่านี้บ่งบอกเป้าหมายใหม่ที่สหรัฐกำลังหันหัวหอกมาทิ่มแทงจีนอย่างชัดเจน สร้างภาพให้ไต้หวันเหมือนยูเครน๒ ที่ต้องได้รับการปกป้องจากตำรวจโลกเพราะจะถูกเพื่อนบ้านรังแก ปฏิบัติการยั่งยุจึงดำเนินไปอย่างเข้มข้นด้วยสงครามลูกผสมที่อาจปะทุเป็นการปะทะเกิดขึ้นได้ทุกขณะในเอเชีย-แปซิฟิก
วันที่ ๒๐ ก.ย.๒๕๖๕ สำนักข่าวสปุ๊ตนิกและโกลบัลไทมส์รายงานว่า จีนโต้กลับคำสาบานของไบเดน ว่าสหรัฐจะปกป้องไต้หวันจากการรวมชาติโดยปักกิ่งในกรณีที่เกิด ‘การโจมตีที่ไม่เคยมีมาก่อน’
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เหมา หนิง กล่าวแถลงข่าวว่า “ข้อสังเกตของสหรัฐฯ … ละเมิดคำมั่นสัญญาสำคัญที่สหรัฐฯ ให้ไว้อย่างร้ายแรงที่จะไม่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน และส่งสัญญาณที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงไปยังกองกำลังแบ่งแยกดินแดนของไต้หวัน .”
เหมา กล่าวว่า “จีนสงวนสิทธิ์ที่จะใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อตอบสนองต่อกิจกรรมที่ทำให้ประเทศแตกแยก เราเต็มใจที่จะทำอย่างดีที่สุดเพื่อต่อสู้เพื่อการรวมชาติอย่างสันติ ในขณะเดียวกัน เราจะไม่ทนต่อกิจกรรมใดๆ ที่มุ่งเป้าไปที่การแบ่งแยกจีนออกจากกัน”
นอกจากนี้ เธอยังเรียกร้องให้สหรัฐฯ จัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน “อย่างระมัดระวังและเหมาะสม” และไม่ส่งสัญญาณ “ผิด” ไปยังกองกำลังแบ่งแยกดินแดนอิสระของไต้หวัน โดยเตือนสหรัฐฯ ว่าการทำเช่นนี้จะสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ และสันติภาพในช่องแคบไต้หวัน
เหมาตอกย้ำว่า “มีจีนเพียงแห่งเดียวในโลก ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงแห่งเดียวของจีน”
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จีนเพิ่งส่งคำเตือนถึงมาตรการตอบโต้ของจีน หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ อนุมัติการขายอาวุธให้ไต้หวันมากกว่า ๑ พันล้านดอลลาร์มาหมาดๆ แม้ว่าจีนจะตั้งมั่นจะรวมชาติด้วยแนวทางสันติ แต่สหรัฐเตรียมโหมไฟความขัดแย้งให้ปะทุไม่รู้ว่าจีนจะทนได้สักกี่น้ำ
ในเวลาเดียวกัน กองทัพสหรัฐและเกาหลีใต้ก็ได้แถลงร่วมว่าจะมีกองเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐฯเยือนเกาหลีใต้เพื่อซ้อมรบร่วมกัน และเป็นครั้งแรกที่เรือพิฆาตชื่อดังของสหรัฐจะมาเยือนเกาหลีใต้ในรอบ ๔ ปี
กองเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส โรนัลด์ เรแกน (USS Ronald Reagan) ของสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกในรอบ ๔ ปี นับตั้งแต่ปี๒๕๖๑ ใน วันที่ ๒๓ ก.ย.๒๕๖๕ มายังฐานทัพเรือในนครปูซาน เพื่อเข้าร่วมการฝึกทางทหารกับเกาหลีใต้ โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความพร้อมทางทหาร และแสดงออกถึงความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย เพื่อการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในคาบสมุทรเกาหลี อนึ่ง เกาหลีเหนือคัดค้านการฝึกร่วมระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ โดยมีจุดมุ่งหมายว่าเป็นการเตรียมความพร้อมของสหรัฐฯ เพื่อทำสงคราม
ทั้งนี้ในสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ลดระดับการดำเนินกิจกรรมทางทหารร่วมกับเกาหลีใต้เมื่อปี ๒๕๖๑ เพื่อส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ทางการทูตกับเกาหลีเหนือ นั่นคือ สหรัฐสมัยของทรัมป์เน้นสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี แต่สมัยไบเด็นเน้นกระตุ้นสงครามขัดแย้ง
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตหวัง คุน ผู้แทนถาวรของจีนประจำสหประชาชาติในกรุงเวียนนา(Ambassador Wang Qun, China’s Permanent Representative to the United Nations in Vienna) กล่าวถึงข้อตกลงเรือดำน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยนิวเคลียร์ภายใต้กลุ่มพันธมิตรออคัส AUKUS ที่นำโดยสหรัฐฯ เป็นการกระทำที่โจ่งแจ้งและขาดความรับผิดชอบของการแพร่กระจายของนิวเคลียร์ และพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าประเทศสมาชิกในกลุ่มออคัส ทั้งสหรัฐ อังกฤษ ออสเตรเลียนั้น “สองมาตรฐาน” ในการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ประเทศในกลุ่มของตนทำได้แต่ประเทศอื่นห้ามทำ และใช้ข้อตกลงนี้เป็นเครื่องมือสำหรับการเล่นเกมเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ที่เอื้อประโยชน์ตน
มีรายงานว่าฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำลังทำงานเพื่อออกมาตรการคว่ำบาตรที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตเทคโนโลยีสำหรับจีน โดยอ้างถึงความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกที่พัวพันกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องจับตาดูว่าการคว่ำบาตร เป็นอาวุธที่สหรัฐใช้พร่ำเพรื่อลงโทษผู้ไม่ยอมสยบอำนาจ มักจะกลายเป็นจุดจบของวอชิงตันเสียเองเหมือนกรณีคว่ำบาตรเศรษฐกิจรัสเซีย แต่บูมเมอแรงย้อนกลับจนสหรัฐและพันธมิตรบอบช้ำสาหัส จนบัดนี้ยังแก้ไม่ตก!!!???