สมรภูมิรบในยูเครนดำเนินไปอย่างเข้มข้น ขณะที่สงครามเศรษฐกิจก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน การจับมือกันของพันธมิตร SCO และ BRICS ส่งสัญญาณการดิ้นรนของพันธมิตรตะวันออกที่นำโดยรัสเซียและจีนให้หลุดพ้นจาก ‘กับดักเงินดอลลาร์’ เขย่าการยึดครองโลกของมหาอำนาจเดี่ยวสหรัฐ ให้สิ้นสุดลงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
แม้ว่าปัจจุบันเมื่อดอลลาร์สหรัฐอาละวาด ค่าเงินเกือบทั้งโลกก็ปั่นป่วน ด้านหนึ่งเหมือนการดิ้นรนเฮือกสุดท้าย เพื่อตอกย้ำอำนาจของตน แต่อีกด้านหนึ่งสะท้อนความผันผวนของการยอมรับแบบที่ปูตินกล่าวไว้ ในงานประชุมสุดยอด ที่วลาดิวอสต็อก งานซัมมิตเศรษฐกิจตะวันออกว่า ดอลลาร์ ยูโรและปอนด์ยจะเสื่อมค่าลงอย่างถึงที่สุดเพราะคว่ำบาตรเดี่ยวรังแกประเทศอื่นไปทั่ว นานาชาติพากันหลีกหนี
หัวใจของแนวรบเศรษฐกิจคือ เปโตรดอลลาร์ ผู้ท้าทายเปลี่ยนระเบียบโลกใหม่มีแต่ทุบทำลายอำนาจของดอลลาร์เท่านั้นจึงชนะได้อย่างสมบูรณ์แต่ไม่อาจทำได้ในชั่วพริบตาเพราะกระทบตัวเองและทั้งโลก
ล่าสุดรัสเซียเทเงินดอลลาร์อีกแบบสุดๆถึง ๙๔%จากเงินทุนสำรองต่างประเทศ ขณะที่ตุรเคียและอาฟริกาต่างพากันใช้ระบบเมียร์ (Mir) ในธุรกรรมการเงินข้ามชาติ เมินสหรัฐขู่จะคว่ำบาตร พันธมิตรตะวันออกทั้ง SCO และ BRICS ต่างพากันใช้เงินสกุลประจำชาติซื้อขายแลกเปลี่ยนมากขึ้น ที่ทำให้สหรัฐหวั่นไหวที่สุดคือ การที่กลุ่มอาหรับขายน้ำมันเป็นเงินหยวน และจีน-รัสเซียจ่ายค่าน้ำมันเป็นหยวน-รูเบิลอย่างละ ๕๐-๕๐ อินเดียซื้อยอมจ่ายค่าน้ำมันและสินค้าเป็นเงินหยวนด้วยแม้แต่ในอาเซียน เมียนมา ลาว กัมพูชา ต่างพากันเซ็น MOU ขยายหน้าต่างให้ “เงินหยวน” ไหลเข้าประเทศกันอย่างคึกคัก
วันที่ ๑๗ ก.ย.๒๕๖๕ สำนักข่าวสปุ๊ตนิกและรัสเซียทูเดย์รายงานว่าอเล็กซ์ ไคร์เนอร์ (Alex Krainer) ผู้ก่อตั้ง Krainer Analytics ผู้เชี่ยวชาญการเงินระหว่างประเทศแห่งโมนาโคเปิดเผยว่า สกุลเงินสำรองใหม่ที่รัสเซียและจีนใช้เป็นทางเลือกแทนดอลลาร์สหรัฐฯ คือ “แครอทที่ดึงดูดใจ” ให้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่จะควบคุมมูลค่าทรัพย์สินของประเทศที่มีค่าที่สุดของตนให้ปลอดภัยได้ ตอนนี้สกุลเงินของประเทศและหยวนได้รับการตอบรับอย่างคึกคัก
เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่หลบหนีจากกลไกการค้าที่ควบคุมเบ็ดเสร็จโดยตะวันตก จะช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถปลดปล่อยตนเองจากหนี้สินที่รุมเร้า ซึ่งขีดความสามารถในการใช้หนี้คืนยากขึ้นเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
ท่ามกลางการครอบงำของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่หดตัวแล้ว รัสเซียประกาศเมื่อเดือนมิถุนายนว่าพร้อมที่จะพัฒนาสกุลเงินสำรองทั่วโลกใหม่ควบคู่ไปกับจีนและประเทศในกลุ่ม BRICS อื่น ๆ ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้เป้นหลัก
ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน กล่าวกับฟอรัมธุรกิจ BRICS “เรื่องการสร้างสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศโดยอิงจากตะกร้าสกุลเงินของประเทศของเรานั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา เราพร้อมที่จะทำงานอย่างเปิดเผยกับพันธมิตรที่ยุติธรรมทั้งหมด”
นักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวในเดือนมิถุนายนว่าแม้ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นกว่า ๙% ในปีนี้เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก ๖ สกุล แต่ธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ต่างมองหาการกระจายการถือครองเป็นสกุลเงินที่ไม่ใช่ดอลลาร์มากขึ้น เช่น หยวนจีน ทองคำหรือสกุลเงินสำรองอื่นๆที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม ในขณะที่ประเทศต่างๆ พยายามเพิ่มมูลค่าของสกุลเงินของตนเองเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แนวโน้มดังกล่าวค่อยๆ ส่งผลให้การครอบงำของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงในการชำระเงินทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
อเล็กซ์ ไครเนอร์ กล่าวว่า “นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐกำลังกดดันให้ลดค่าเงินดอลลาร์โดยการส่งออกเงินเฟ้อของสหรัฐไปยังคู่ค้าของตนอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น มาตรฐานเครดิตที่เข้มงวดทำให้ยากต่อการได้รับเงินกู้ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นส่งผลกระทบต่อดุลการค้าของประเทศกำลังพัฒนาอย่างมาก”
นักวิเคราะห์การเงินอธิบายว่าเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่ประเทศกำลังพัฒนาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระบบที่ใช้เงินดอลลาร์ตะวันตก ดังนั้น พวกเขาจึงถูกบังคับให้ยอมจำนนต่อการควบคุมการค้าและการเงิน “ผูกขาด” ซึ่งรวมถึง “การปรับโครงสร้าง” ที่โหดร้ายของ IMF ซึ่งส่งผลให้เกิดความยากจนเรื้อรังสำหรับประชากรของพวกเขานานหลายทศวรรษ
ไครเนอร์เล่าว่า เพื่อปกป้องอำนาจอธิปไตยของตน ฝ่ายตะวันตกได้อาศัยกำลังอาวุธตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการล่าอาณานิคม แต่ตอนนี้การครอบงำนี้กำลังสูญเสียไป
นักวิเคราะห์ฟันธงว่าขณะนี้ผู้นำตะวันตกกำลังเผชิญกับ”สถานการณ์ที่อันตรายที่สุด คือต้องเจอกับพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ของจีน รัสเซีย และอิหร่าน หรือบางทีอาจมีอินเดีย ซึ่งต่างเป็นพันธมิตรที่ ‘ต่อต้านอำนาจนิยม’ของตะวันตก
เขาย้ำว่า “การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไม่สามารถย้อนกลับได้นี้จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดจุดหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นการปลดปล่อยให้เป็นอิสรภาพที่แท้จริงสำหรับมนุษยชาติส่วนใหญ่ทั่วโลก”