ปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นาโต้ (NATO) เสริมทัพเตรียมพร้อมระดับสูงเพิ่มกำลังทหารกว่า ๗ เท่าเป็น ๓๐๐,๐๐๐ นาย เพื่อยกระดับหน่วยรบของนาโต้บริเวณปีกตะวันออกของชาติพันธมิตรที่อยู่ใกล้รัสเซียที่สุดคือเบลารุส ยกระดับกำลังพลของนาโต้ให้เป็นกองพลน้อยเพื่อการเคลื่อนไหวและเสริมกำลังได้อย่างรวดเร็ว
นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการ องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ประกาศว่าชาติพันธมิตรเตรียมใช้กลยุทธ์ใหม่เพื่อรับมือกับรัสเซีย ซึ่งนาโต้หมายหัวเป็นศัตรูในสงครามตัวแทนยูเครน ที่ดำเนินมายืดเยื้อเป็นเวลากว่า ๗ เดือนแล้ว
เขาเปิดเผยว่า หน่วยรบของนาโต้บริเวณปีกตะวันออกของพันธมิตรซึ่งอยู่ใกล้รัสเซียที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบอลติก จะถูกยกระดับเป็นกองพลน้อย โดยมีทหารหลายพันนายที่ได้รับมอบหมายล่วงหน้าในประเทศที่อยู่ห่างไกลออกไปทางตะวันตก เช่น เยอรมนี เพื่อจะสามารถเข้าไปเสริมกำลังได้อย่างรวดเร็ว
ข่าวแบบนี้มีหรือรัสเซียจะไม่รู้ นั่นหมายความว่า รัสเซียพร้อมที่จะลุยกับนาโต้ซึ่งนำโดยสหรัฐอยู่แล้ว นับตั้งแต่ตัดสินใจเปิดศึก เพียงรอเวลา หยั่งเชิงท่าทีของฝ่ายตรงข้ามว่าจะคุยหรือจะลุย ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านสหรัฐและนาโต้ดันหลังยูเครนสู้อย่างถึงที่สุด และล่าสุดโผล่หน้าให้เห็นในภาคสนามอย่างชัดเจนท่ามกลางการสู้รบดุเดือดในสมรภูมิรอบดอนบาสส์
การเปรียบเทียบความสามารถทางทหารของ NATO และรัสเซีย ๒๐๒๒โดยสตาติสต้าฯ (Statista Research Department) เมื่อ ๓ มี.ค. ๒๐๒๒ ระหว่างรัสเซียประเทศเดียวกับสมาชิกนาโต้ ๓๐ ประเทศจะพบว่ารัสเซียได้เปรียบด้านขีปนาวุธนิวเคลียร์ซึ่งเป็นตัวเลขที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่จำนวนที่แท้จริงไม่มีใครเปิดเผย เพราะมีการซุ่มสร้างในกลุ่มประเทศมหาอำนาจนิวเคลียร์ทั้งฝั่งตะวันตก และรัสเซีย รวมทั้งพันธมิตรตะวันออก
ข้อมูลล่าสุดปี ๒๐๒๒ นาโต้มีทหารประจำการประมาณ ๓.๓๗ ล้านคน เทียบกับ ในกองทัพรัสเซีย ๑.๓๕ ล้านคน ขีดความสามารถทางทหารโดยรวมของ ๓๐ ประเทศที่ประกอบเป็นนาโต้ มีมากกว่ารัสเซียในแง่ของเครื่องบิน ที่ ๒๐,๗๒๓ ลำ รัสเซียมี 4,173 ลำ และในกำลังกองทัพเรือโดยมีเรือรบ ๒,๐๔๙ ลำ รัสเซียมี ๖๐๕ ลำ ในสายตาของตะวันตกจึงมองว่ารัสเซียเสียเปรียบเห็นๆ
อย่างไรก็ตาม ขีดความสามารถของยานเกราะต่อสู้ภาคพื้นดินของรัสเซียมีการแข่งขันสูงกว่าด้วยจำนวนยานเกราะ กลุ่มนาโต้มี ๑๒,๔๒๐ คัน รัสเซียมี ๑๔,๖๘๒ คัน คลังแสงนิวเคลียร์รวมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสมีจำนวน ๖,๐๖๕ หัวรบนิวเคลียร์ เทียบกับของรัสเซียมี ๖,๒๕๕ หัวรบนิวเคลียร์
กองเรือดำน้ำขนาดใหญ่ของรัสเซียเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่นาโต้กังวล NATO ประการแรก มีภัยคุกคามจากนิวเคลียร์จากเรือดำน้ำขีปนาวุธนำวิถี ๑๒ ลำของรัสเซียและเรือดำน้ำขีปนาวุธร่อน ๑๑ ลำ ประการที่สอง มีเรือดำน้ำโจมตีนิวเคลียร์ของรัสเซีย ๑๕ ลำ อย่างน้อย ๕ ลำได้ถูกนำไปใช้ในมหาสมุทรแปซิฟิกจนถึงปีนี้เป็นอย่างน้อย และเรือดำน้ำจู่โจมทั่วไป ๒๐ ลำ ๖ ลำประจำการในมหาสมุทรแปซิฟิก รวมคร่าวๆที่ปรากฏในข่าวประมาณเกือบ ๖๐ ลำ
ขณะที่สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศสมีเรือดำน้ำโจมตีนิวเคลียร์ ๓๕ ลำที่ปรับใช้ในมหาสมุทรแอตแลนติก ไม่ปรากฎตัวเลขในมหาสมุทรแปซิฟิก
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขบนกระดาษจะเห็นว่า รัสเซียเสียเปรียบนาโต้อย่างชัดเจนสำหรับกำลังทหารและอาวุธภาคพื้นดิน แต่ได้เปรียบชัดในอาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ ทั้งบก-ทะเล และอากาศ ยังไม่นับอาวุธนิวเคลียร์ตัวท็อปความเร็วเหนือเสียง ที่น่าเกรงขามเพราะยังไม่มีระบบใดขัดขวางได้ แต่ข้อเท็จจริงในการสู้รบ หากนับรวมพันธมิตรตะวันออกของรัสเซียซึ่งเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ ทั้งจีน อิหร่าน เกาหลีเหนือก็ทำให้นาโต้ปอดกระเส่าได้ ทำให้สหรัฐและพันธมิตรต้องเร่งปรับขบวนอย่างหนัก หาทางแจกนิวเคลียร์ให้กับบริวารอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศสมาชิกนาโต้ และเอเชีย-แปซิฟิก
ด้านเจตจำนงของประเทศสมาชิก NATO ของยุโรปในการต่อสู้กับรัสเซียนั้น เป็นเรื่องยากมากที่จะคาดการณ์ล่วงหน้า เพราะมันได้รับอิทธิพลจากผลกระทบทางเศรษฐกิจย้อนกลับในการคว่ำบาตรรัสเซียอย่างสาหัส ปัจจัยต่างๆ มากมาย ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่ามีเพียงกองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสเท่านั้นที่เต็มใจจะสู้รบ เยอรมนีนั้นยื้อแล้วยื้ออีก และต้องบอกว่าการแสดงที่ไม่น่าประทับใจอย่างยิ่งของกองทัพนาโต้ส่วนใหญ่ในอัฟกานิสถานและคาบสมุทรบอลข่านได้ช่วยสนับสนุนความเชื่อนี้อย่างมาก ขณะที่เจตจำนงค์ในการสู้รบของรัสเซียเหนียวแน่นเป็นปึกแผ่นทั้งผู้นำ ทีมงาน ทหารและประชาชน
เหนือสิ่งอื่นใด ในเกือบทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้สำหรับการทำสงครามภาคพื้นดินกับรัสเซีย โปแลนด์จะเป็นแนวหน้าอย่างเต็มใจ โปแลนด์มีกองกำลังประจำการ ๑๑๑,๐๐๐ นาย และกองหนุนที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทันที ๓๒,๐๐๐ นาย เมื่อ ๖ เดือนที่แล้ว ดูเหมือนจะเล็กน้อยเมื่อเทียบกับกองทัพรัสเซีย แต่วันนี้คงไม่เหมือนเดิม ทำให้เบลารุสเคลื่อนกำลังทหารประชิดชายแดน และเร่งติดหัวรบนิวเคลียร์เครื่องบินรบพร้อมสู้ศึก
ด้วยเหตุผลทางภูมิศาสตร์ การเสริมกำลังของนาโต้อย่างต่อเนื่องในกลุ่มประเทศบอลติก และการพยายามตัดเส้นทางขนส่งของรัสเซียในคาลินินกราดแต่ล้มเหลวรัสเซียปิดจุดนี้ได้ ทำให้การสู้รบที่สมรภูมิบอลติกอาจเกิดขึ้นได้เพื่อแบ่งกำลังทหารรัสเซียให้ทิ้งยุทธศาสตร์ปลดปล่อยดอนบาสส์ แต่สงครามใหญ่ครั้งใหม่ในยุโรปจะไม่จำกัดอยู่แค่ภาคพื้นดิน เมื่อใดน่านฟ้าเปิดสู่สนามรบเต็มรูปแบบ ทั้งสองฝ่ายต้องงัดไม้เด็ดด้วยอาวุธทางยุทธศาตร์ทั้งของสหรัฐและรัสเซียออกมาแน่ อยู่ที่ใครกดปุ่มก่อนผู้นั้นอาจได้เปรียบ ยังคงต้องจับตาต่อไปอย่างใกล้ชิด !?