เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับสวีเดนอีกครั้ง เมื่อมีรายงานจากกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เมื่อวันที่ 15 ก.ย. ว่านางมักดาเลนา แอนเดอร์สสัน แถลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสวีเดนแล้ว หลังพันธมิตรฝ่ายขวาเฉือนชนะเลือกตั้ง และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังเฉือนชนะการเลือกตั้งทั่วไป ที่ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่ง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้น่าวิตก เมื่อนายกฯคนใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ประชากรส่วนหนึ่งในสวีเดนมีความกังวล ว่าประเทศจะย่ำแย่ เพราะผู้นำคนใหม่มีแผนช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจำนวนมาก และอาจจะสนับสนุน NATO ในเรื่องสงครามยูเครน จะชาติเราจะกลายเป็นชาติที่ไร้ซึ่งความประนีประนอม
โดยแอนเดอร์สสัน วัย 55 ปี ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้นำรัฐบาลหญิงคนแรกของสวีเดน และรับตำแหน่งเมื่อเดือนพ.ย. ปีที่แล้ว เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งผลปรากฏว่า พันธมิตรพรรคสายกลาง-ซ้ายของเธอ ได้รับการเลือกตั้งเข้ามารวมกัน 173 จาก 349 ที่นั่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ่ายแพ้อย่างเฉียดฉิวต่อพันธมิตรพรรคฝ่ายขวา ที่มีพรรคประชาธิปไตยสวีดิข ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดรวมอยู่ด้วย และได้รับการเลือกตั้งรวมกัน 176 ที่นั่ง แม้คณะกรรมการการเลือกตั้งยังไม่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ แต่ทุกฝ่ายเชื่อว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากนี้ ขณะที่นายอูล์ฟ คริสเตอร์สสัน ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคสายกลาง วัย 58 ปี ประกาศเตรียมจัดตั้งรัฐบาล ที่จะถือเป็น “ครั้งประวัติศาสตร์” ท่ามกลางความวิตกกังวลของหลายฝ่าย ว่ารูปแบบการเมืองของสวีเดน “ที่เคยประนีประนอม” จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
แม้ว่าคริสเตอร์สสัน จะยืนยันว่าการจัดตั้งรัฐบาล “ทำเพื่อชาวสวีดิชทุกคน” แต่กล่าวถึงผลการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า สะท้อนความไม่พอใจอย่างรุนแรงของประชาชน ต่ออาชญากรรมที่เพิ่มสูงขึ้น และนโยบายผู้อพยพ “ที่ใจดีเกินไป” โดยว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องการปรับลดสวัสดิการสนับสนุนผู้อพยพ เพิ่มอำนาจให้แก่ตำรวจในการตรวจค้น “บุคคลน่าสงสัย” และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาท่าทีของสวีเดน ก็แสดงชัดถึงการหนุนสงครามยูเครนมาตลอด แต่ไม่ได้เปิดหน้าเต็ม ๆ มากมายนัก ยังมีความเกรงอำนาจปูตินอยู่บ้าง ทั้งเรื่องการประกาศว่าจะรับช่วงต่อจากสหรัฐฯมาผลิตอาวุธป้อนยูเครนให้ทำสงครามแบบยาว ๆ แต่ในยุคผู้นำคนก่อน ประชาชรสวีเดนยังเชื่อว่าเป็นเพียงการขายฝันยูเครนเท่านั้น แต่เมื่อเปลี่ยนผู้นำคนใหม่แล้ว ประชากรมีความกังวลมากกว่า ว่าบ้านเมืองตัวเอง จะกลายเป็นสนามรบที่อาจจะต้องเปิดหน้ากับรัสเซียแบบเลี่ยงไม่ได้ในอนาคตหรือไม่