ฝ่าวิกฤตพลังงาน!! รัฐจัดบัตรสวัสดิการฯ-คนละครึ่งเฟส ๕ ดันดัชนีเชื่อมั่นฯโตสุดรอบ ๘ ด. เอกชนเชื่อศก.โต ๓.๕%

0

ราคาพลังงานยังดีดตัวสูงไม่หยุดแม้จะมีการรีบาวน์ราคาเป็นช่วงๆ สภาพเช่นนี้ดำรงอยู่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย รัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ทันเหตุการณ์ ล่าสุดครม.อนุมัติมาตรการดูแลภาคประชาชนทั้งการลดค่าครองชีพ ด้วยการต่อเวลาการลดภาษีน้ำมันและการอุ้มค่าไฟฟ้าไปจนถึงสิ้นปี ขณะเดียวกันได้จัดคนละครึ่งเฟส ๕ และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ส่งผลดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคของหอการค้าสูงสุดใสรอบ ๘ เดือนและการคลายล็อกดาวน์หนุนดัชนีเชื่อมั่นของอุตสาหกรรมเพิ่มติดกัน ๓ เดือนด้วย 

 

วันที่ ๑๓ ก.ย.๒๕๖๕ นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๕ พบว่า ดัชนีมีการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๓ มาอยู่ที่ระดับ ๔๓.๗ 

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการในการเดินทางเข้าประเทศ การยกเลิกระบบ Thailand Pass ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทยได้สะดวกมากยิ่งขึ้น อาจสูงกว่า ๑๐ ล้านคนในปีนี้เป็น ๑๒ ล้านคน 

รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-๑๙ ในประเทศ ทำให้ภาคธุรกิจในประเทศสามารถเดินหน้าได้ มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-๑๙ ด้วยการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชนทั้งโครงการคนละครึ่งเฟส ๕ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการส่งออกที่ยังคงขยายตัวได้ดี รวมถึงราคาพืชผลทางการเกษตรมีราคาดีขึ้น

ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ ๓๗.๘ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ ๔๐.๙ และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ ๕๒.๓

โดยทางศูนย์พยากรณ์ฯ มองว่า จากนี้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะสามารถปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ตามกรอบที่ประเมินไว้ ๓-๓,๕%

ในขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศมองว่า ไม่มีผลกับการขยายตัวของเศรษฐกิจเนื่องจากพื้นที่ทางการเกษตรไม่ได้รับความเสียหาย การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นแรงส่งสำหรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากรายได้ของประชาชนจะดีขึ้นและภาวะเศรษฐกิจของประเทศถือเป็นเศรษฐกิจในช่วงขาขึ้นและฟื้นตัวแล้ว

ด้านภาคการผลิต อุตสาหกรรมไทยยังไปได้สวย ดัชนีเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มติดกันถึง ๘ เดือนสะท้อนว่าการผลิตเดินหน้าไปท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๕ ว่า อยู่ที่ระดับ ๙๐.๕ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก ๘๙,๐ ในเดือนกรกฎาคม โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๓ 

ทั้งนี้ มีปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยในประเทศเป็นสำคัญ ได้แก่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากสถานการณ์โควิด-๑๙ ปรับตัวดีขึ้นและภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-๑๙ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การบริโภคในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น สะท้อนจากความต้องสินค้าภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง 

ขณะที่บรรยากาศการท่องเที่ยวมีสัญญาณที่ดีขึ้นหลังการยกเลิก Thailand Pass รวมถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกันช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศ

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ที่เผชิญปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังมีความไม่แน่นอน รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนชิป ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์บางรุ่น เป็นปัจจัยลบต่อภาคการส่งออกของไทย 

นอกจากนี้ผู้ประกอบยังมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากราคาวัตถุดิบ อาทิ อาหารสัตว์ เหล็กและอลูมิเนียม ค่าไฟฟ้า รวมถึงต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่ทรงตัวในระดับสูง แม้ว่าในเดือนสิงหาคมต้นทุนด้านราคาน้ำมันจะปรับตัวดีขึ้นก็ตาม ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนต่างด้าวในภาคการผลิต

จากการสำรวจผู้ประกอบการ ๑,๓๐๔ ราย ครอบคลุม ๔๕ กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๕ พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้นได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก ๗๕.๙% สถานการณ์การเมือง ๔๒.๘% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ๓๙.๓% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ๓๕.๗% 

ปัจจัยที่มีความกังวล ลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน๗๗.๖% เศรษฐกิจในประเทศ ๔๕.๙% สถานการณ์ระบาดของโควิด-๑๙ ประมาณ ๔๘.๗%   

สำหรับดัชนีฯคาดการณ์ ๓ เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ ๙๙.๕ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก ๙๘.๗ ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากผู้ประกอบการมองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวแบบช้าๆ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ 

รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราจ้างขั้นต่ำ ในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ รวมถึงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้ารอบใหม่ในช่วงเดือนกันยายน – ธันวาคม ๒๕๖๕ จะส่งผลให้ต้นทุนประกอบการสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่างๆ  อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยได้ในที่สุด

นายเกรียงไกร กล่าวถึงข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ประกอบด้วย 

-เร่งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า และการปรับขั้นค่าจ้าง ขึ้นต่ำ อาทิ การให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ใผู้ประกอบการ SMEs,สนับสนุนงบประมาณเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ 

-อำนวยความสะดวกในการนำเข้าแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการนำเครื่องจักรมาใช้ในการผลิตมากขึ้น 

-ภาครัฐควรเตรียมมาตรการรับมือเพื่อป้องกันผลกระทบกรณีเกิดอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจ รวมทั้งควรมีแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและน้ำแล้ง