สถานการณ์รบเดือดในยูเครนยังไม่จบลงได้ง่ายๆ ขณะที่ความขัดแย้งที่คุกรุ่นในตะวันออกกลางโดยเฉพาะคู่ปรับอิสราเอลและอิหร่าน นับวันเพิ่มอุณหภูมิร้อนมากขึ้น ต่างขู่กันไปมาอย่างเปิดเผยว่าจะโจมตีเมืองหลวงของกันถ้าเปิดสงครามแตกหัก
ล่าสุดอิหร่านเปิดตัวโดรนพิฆาตไร้คนขับรุ่นใหม่ที่บางทีเรียกว่า โดรนฆ่าตัวตายที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อโจมตีเมืองหลวงและเมืองชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดของอิสราเอล หลังจากที่อิสราเอลประกาศจะถล่มเตหะราน
วันที่ ๑๓ ก.ย.๒๕๖๕ สำนักข่าวรัสเซียทูเดย์และสถานีไออาร์ไอบี ทีวีวันของอิหร่าน รายงานว่า นายพลคีโอมาร์ส เฮย์ดารี (Kiomars Heydari) ผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นดินของอิหร่าน เปิดเผยว่าเตหะรานได้พัฒนาโดรนแอราช-ทู (Arash-2) ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ของแอราช-วัน (Arash-1) อากาศยานไร้คนขับฆ่าตัวตายใช้ระยะไกล เรียกย่อว่าUAV หรือ อันแมน แอร์เรียล วีไฮเคิลส์(unmanned aerial vehicles)
เฮดารี ให้การยกย่อง UAV รุ่นใหม่ว่า “ไร้เทียมทาน ” และตั้งข้อสังเกตว่าอิหร่านได้ออกแบบโดรนนี้เป็นพิเศษ เพื่อกำหนดเป้าหมายไปยังเมืองไฮฟาและเทลอาวีฟของอิสราเอล เขายังกล่าวอีกว่ากองทัพในประเทศของเขากำลังรอคำสั่งให้เข้าประจำการในสักวันหนึ่งเร็วๆนี้”
นายพลได้อธิบายคุณลักษณะของแอราช-ทู โดยกล่าวว่าความสามารถพิเศษของมันทำให้สามารถดึงข้อมูลได้หลายครั้งก่อนที่จะโจมตีและกำจัดเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดรนรุ่นนี้ได้เข้าประจำการในคลังของกองทัพแล้ว และสัญญาว่าจะแสดงให้เห็นศักยภาพของมันในระหว่างการฝึกซ้อมทางทหารในอนาคตอันใกล้
ตามรายงานของสื่อแอราช-วัน รุ่นก่อน มีความสามารถในการเดินทางไกลกว่า ๑,๔๐๐ กิโลเมตร ก่อนจะพุ่งชนเป้าหมายและสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับเรดาร์ได้โดรนไร้คนขับ มีความยาว ๔.๕ เมตร และมีปีกกว้างประมาณ ๓.๕ ถึง ๔ เมตร การออกแบบของโดรนยังช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงอีกด้วย
อิหร่านและอิสราเอลขัดแย้งกันมานานแล้ว โดยโครงการนิวเคลียร์ของเตหะรานเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของความขัดแย้ง แม้ว่าอิหร่านจะยืนกรานว่าเจตนาของตนนั้นเพื่อความสงบสุขและผลประโยชน์ด้านพลังงานในประเทศ แต่อิสราเอลต่อต้านและก็กลัวว่าในที่สุดเตหะรานอาจมีอาวุธนิวเคลียร์ แม้ว่าจะมีข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ลงนามในปี ๒๐๑๕ โดยสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย จีน สหภาพยุโรป และอิหร่าน
นานาชาติต่างเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า อิสราเอลอยู่เบื้องหลังการโจมตีอย่างลับๆ ต่อความสามารถในการวิจัยนิวเคลียร์ของอิหร่าน และการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ของเตหะรานมาแล้วหลายคน
ในเดือนกรกฎาคม เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ อ้างว่าวอชิงตันมีหลักฐานว่าอิหร่านกำลังเตรียมส่งโดรนพิฆาต “หลายร้อยลำ” ไปยังรัสเซีย แต่โฆษกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ จอห์น เคอร์บี ชี้แจงในเดือนนั้นว่าไม่เห็นสัญญาณบ่งชี้การส่งมอบหรือซื้อ UAV ของรัสเซียกับอิหร่านแต่อย่างใด เรียกว่าจะใส่ความก็ไม่นัดกันไว้ก่อนเลยหน้าแตก
กระทรวงการต่างประเทศอิหร่านกล่าวหาซัลลิแวนว่า “บิดเบือนความจริง” แต่ก็ยอมรับว่าทั้งโดรนรุ่น โมฮาเจอร์-๖ (Mohajer-6) และรุ่นชาเฮด (Shahed) สามารถใช้สำหรับการเฝ้าระวังและดำเนินการโจมตีทางอากาศได้
ด้านอิสราเอล ก่อนหน้านี้ ผู้อำนวยการมอสสาด (Mossad) หัวหน้าสายลับอิสราเอลประณามโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และสาบานที่จะต่อสู้กับอิหร่านโดยไม่คำนึงถึงข้อตกลงนิวเคลียร์แม้จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งดูเหมือนสหรัฐก็ตอบสนองความต้องการของอิสราเอลเป็นอย่างดี โดยถ่วงเวลาการเจรจา ทั้งๆที่ประเทศอื่นๆพร้อมคุยกับอิหร่าน มาถึงตอนนี้อิหร่านชักไม่สนใจแล้วว่า สหรัฐและตะวันตกจะคิดจะทำอย่างไร เพราะที่ผ่านมาทั้งคว่ำบาตรและบีบอิหร่านในทุกด้าน จึงตั้งเป้าหมายมุ่งสู่พันธมิตรตะวันออกอย่างจริงจัง เตรียมพบกับสี จิ้นผิง-ปูตินและนเรนทรา โมดีที่ประชุมSCO สัปดาห์นี้
เรื่องที่ทำให้สหรัฐและอิสราจุกเห็นจะเป็นการที่อิหร่านหันกลับมาคืนดีกับซาอุดิอาระเบียที่ขณะนี้แข็งข้อกับสหรัฐอย่างออกนอกหน้า
รัฐบาลเตหะรานเรียกร้องซาอุดีอาระเบีย “แสดงความจริงใจ” ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ร่วมกัน โดยยืนยันว่าอิหร่านพร้อมอย่างไม่มีเงื่อนไข
#Iran FM spokesman (on Iran-Saudi talks): The focus is on launching Iran's OIC representation in Jeddah…As president Raisi had earlier noted, Iran is ready to reopen embassy in #SaudiArabia & that depends on Saudi side. We’ll consider all arrangements for this to be implemented pic.twitter.com/aVVmuoLTcq
— Abas Aslani (@AbasAslani) January 17, 2022
ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียและอิหร่านยุติความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อปี ๒๕๕๙ จากกรณีรัฐบาลริยาดประหารชีวิต “ชีค นิมร์ อัล-นิมร์” นักการศาสนาชาวชีอะห์ ซึ่งอยู่เบื้องหลังการประท้วงต่อต้านรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ในพื้นที่ทางตะวันออกของซาอุดีอาระเบีย หลังจากนั้นเกิดเหตุบุกเผาทำลายสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย ประจำกรุงเตหะราน แต่กลับมาเจรจากันแล้วอย่างน้อย ๕ ครั้ง ตั้งแต่เดือน เม.ย. ปีที่แล้ว โดยมีอิรักเป็นคนกลาง และหารือกันในหลายเรื่อง ตั้งแต่สงครามในเยเมน ไปจนถึงตลาดน้ำมัน และโครงการนิวเคลียร์
กระทรวงการต่างประเทศอิหร่านประกาศเมื่อเดือนม.ค. ปีนี้ ว่า เจ้าหน้าที่การทูตของรัฐบาลเตหะราน ๓ คนเดินทางไปยังเมืองเจดดาห์ หลังได้รับการอนุมัติวีซ่าจากซาอุดีอาระเบีย เพื่อเตรียมการเปิดสำนักงานคณะผู้แทนถาวรอิหร่าน ประจำองค์การรัฐอิสลาม (โอไอซี) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซาอุดีอาระเบีย “อีกครั้ง” เช่นเดียวกับการกลับมาเปิดสถานเอกอัครราชทูตอิหร่านประจำกรุงริยาดอีกไม่นานนี้