แม้ว่าโปแลนด์จะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ให้การสนับสนุนยูเครนในช่วงที่ผ่านมา ทั้งเรื่องจัดหาอาวุธและการให้ที่พักกับผู้ลี้ภัยยูเครน จนเกิดการประท้วงเดือดของประชาชน ว่าไม่ควรหนุนยูเครนและผู้นำต้องเลิกตามรอยสหรัฐฯ เนื่องจากผลของการคว่ำบาตรทำให้โปแลนด์เดือดร้อนเช่นกัน แม้จะไม่เทียบเท่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรปก็ตาม ล่าสุดดูเหมือนโปแลนด์จะสร้างหายนะใหญ่ให้ชาติบ้านเมืองของตัวเอง เมื่อยอมทำลายเศรษฐกิจของตนเองเพื่อสร้างแนวรบทางทางตะวันออกให้กับนาโต้
โดยในเพจเฟซบุ๊ก Around the war world รอบโลกสงคราม ได้รายงานว่า โปแลนด์ยินดีทำลายเศรษฐกิจของตนเองเพื่อสร้างแนวรบทางทางตะวันออกให้กับนาโต้ โปแลนด์เพิ่มกำลังทหารเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามกับรัสเซียในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยมีประสงค์เพื่อดึงดูดความช่วยเหลือและอาวุธจาก NATO และปรับปรุงคลังอาวุธให้ทันสมัยหลังจากส่งอาวุธเก่าให้กับยูเครน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องแลกมาด้วยการทำลายเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในชาติ
มาร์ซิน โอเซียปา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมของโปแลนด์กล่าวว่า “ในอนาคตมีโอกาศที่เราจะทำสงครามกับรัสเซีย”ในอีกสามถึงสิบปีจากนี้ เราจำเป็นต้องใช้เวลานี้เพื่อเสริมกำลังไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม โปแลนด์ต้องการแสดงให้เห็นว่าอยู่ในแนวหน้าในการต่อสู้กับรัสเซีย พวกเขาวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้เล่นหลักในยุโรปและนาโต้ โปแลนด์เน้นย้ำมาตลอดว่านาโต้จำเป็นต้องเสริมสร้างพรมแดนด้านตะวันออกของตน
โปแลนด์ได้ปลดปล่อยคลังอาวุธที่ล้าสมัยโดยส่งไปยังยูเครนและตอนนี้คาดว่าจะมีอาวุธใหม่จากประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา โปแลนด์ต้องการระบบป้องกันภัยทางอากาศ ระบบป้องกันขีปนาวุธ กองกำลังภาคพื้นดินและยุทโธปกรณ์หนัก เช่น รถถังและปืนใหญ่อัตตาจร
เมื่อวันที่ 8 กันยายนพวกเขาจะจำกัดพลเมืองรัสเซียที่ถือวีซ่าสหภาพยุโรปไม่ให้เข้าภายในวันที่ 19 กันยายนเพื่อจัดการกับภัยคุกคามด้านความปลอดภัย สิ่งนี้ยังเกิดขึ้นรัฐบอลติกทั้งสาม
นายกรัฐมนตรีของเอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย กล่าวในแถลงการณ์ว่าพวกเขากังวล “เกี่ยวกับการไหลเข้าของพลเมืองรัสเซียจำนวนมากและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่เข้าสู่สหภาพยุโรป เราเชื่อว่าสิ่งนี้กำลังเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความมั่นคงของเรา เมื่อเดือนที่แล้วรัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรปพบกันที่กรุงปรากและตกลงที่จะระงับข้อตกลงด้านวีซ่ากับรัสเซีย
ส่วนทางด้านหัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรปกล่าวว่า ประเทศที่มีพรมแดนติดกับรัสเซียสามารถ “ดำเนินมาตรการเพื่อจำกัดการเข้าสู่สหภาพยุโรปโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาต” เมื่อโปแลนด์ปิดพรมแดนและเรียกร้องให้มีการเสริมกำลังทหาร มันชัดเจนว่าวอร์ซอกำลังเตรียมการยกระดับกับมอสโก และบางสิ่งจะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
โปแลนด์ไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับวิกฤตด้านพลังงานที่กำลังเกิดขึ้นในยุโรป ที่กำลังสร้างความหวาดกลัวอย่างมากต่อภาวะถดถอยจากมาตรการคว่ำบาตรที่นำโดยสหรัฐฯกำหนดขึ้น หลังจากการปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครน ส่งผลให้มอสโกต้องยืนยันว่าการซื้อพลังงานทั้งหมดต้องทำชำระโดยรูเบิล ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่วอร์ซอว์ปฏิเสธ มอสโกจึงตัดสินใจที่จะลดการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ทำให้ราคาพลังงานในยุโรปพุ่งทะลุเพดาน เพื่อจัดการกับปัญหานี้โปแลนด์ได้หันไปหาไนจีเรียที่เป็นซัพพลายเออร์ของพวกเขาอยู่เเล้วให้เพิ่มการจัดส่ง LNG หลายคนยังคงสงสัยว่าไนจีเรียซึ่งสถานะทางเศรษฐกิจที่แย่ สามารถตอบสนองความต้องการของยุโรปและโปแลนด์ได้อย่างไร
ที่สำคัญกว่านั้น เศรษฐกิจของโปแลนด์กำลังชะลอตัว สถาบันเศรษฐกิจโปแลนด์ (PIE) รายงานเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม คาดว่า GDP จะลดลงเหลือ 2.7% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2022 ตามมาจากการลดลง 8.5 เป็น 5.3% ในไตรมาสที่ 2 Think Tank ที่รัฐเป็นเจ้าของเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วงปลายไตรมาสที่ 4 จะอยู่ที่ 14.5% แต่อาจเพิ่มขึ้นเป็น 15.6% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 เนื่องจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น
โปแลนด์กำลังจัดลำดับความสำคัญโดยมอบผลประโยชน์ของสหรัฐฯไว้อันดับหนึ่งด้วยความเชื่อที่ผิด ๆ ว่ารัสเซียกำลังเตรียมที่จะรุกราน มันเน้นย้ำว่าโปแลนด์ไม่เข้าใจเหตุผลของปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครนอย่างถ่องแท้ แต่ยังเต็มใจที่จะทำลายเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนเพราะเห็นแก่การมีอาวุธใหม่และอำนาจต่อรองทางทหาร โดย Ahmed Adelนักวิจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์การเมืองในกรุงไคโร