ยุคมืดคืบคลาน!! มะกัน ๑ ใน ๔ เป็นโรคจิต IMFทำนายจะตกงานอีก ๖ ล้านคน เฟดจึงกดเงินเฟ้ออยู่

0

ท่ามกลางการปะทะของพลังอำนาจสองขั้ว มหาอำนาจขั้วใหม่สหรัฐและพันธมิตร กับผู้ท้าทายรัสเซีย-จีนและพันธมิตรตะวันออก ผู้นำสหรัฐพุ่งเป้าแก้ปัญหาหมักหมมของประเทศด้วยการ กระตุ้นสงครามในภูมิภาคยุโรปและเอเชีย-แปซิฟิกโดยแตะแบบผิวเผินกับปัญหาภายในประเทศ

วันนี้ผลสำรวจพบว่าผู้ใหญ่สหรัฐฯ เกือบ ๑ ใน ๔ ต้องเข้ารับการรักษาด้าน ‘สุขภาพจิต’มากขึ้นจากอดีตในช่วงโรคระบาด ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปราะบางสู่ความถดถอยชะลอตัว เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพพุ่ง ซ้ำเติมด้วยความขัดแย้งและแข่งขันทางการเมืองของสองพรรคใหญ่ แม้ตัวเลขว่างงานและแรงงานนอกภาคเกษตรจะดูดี ก็ปิดบังสภาพความไม่ปกติของคนอเมริกันในทุกที่ที่ต้องเผชิญการปล้นชิงในเมืองใหญ่กลางวันแสกๆ สภาพรถไฟใต้ดินที่เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลแบบอ้วกพุ่ง บ่งบอกสภาพจิตใจของคนเมืองอเมริกันได้ชัดเจน 

ล่าสุดการแก้ปัญหาเงินเฟ้อของไบเดน ใช้การเพิ่มดอกเบี้ยไม่รู้จบ ดูเหมือนไอเอ็มเอพจะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เพราะนักวิจัยเปิดเผยว่า สหรัฐอาจต้องทำให้คนตกงานถึง ๖ ล้านคนถึงกดเงินเฟ้ออยู่ แล้วมันเกี่ยวกันอย่างไร??

วันที่ ๑๑ ก.ย.๒๕๖๕ สำนักข่าวซินหัวและยูเอสนิวส์ รายงานว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ เปิดเผยว่าสัดส่วนของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ ที่เข้ารับการรักษาสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้นในช่วงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-๑๙)

คัลไลโอป โฮลิงเก นักระบาดวิทยาจิตเวชรายหนึ่ง กล่าวว่าผู้ใหญ่เกือบร้อยละ ๒๒ เข้ารับการรักษาสุขภาพจิตในปี ๒๐๒๑ เพิ่มขึ้นจากราวร้อยละ ๑๙ ในปี ๒๐๑๙ ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการเข้าถึงการรักษาที่ดีขึ้น

โฮลิงเกกล่าวว่า“โรคระบาดได้กระตุ้นให้เกิดการสนทนาที่สำคัญเกี่ยวกับความจำเป็นในการดูแลสุขภาพตนเอง โดยเราเห็นมันสะท้อนออกมาในประชากรโดยรวม” 

รายงานอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์ฯ ซึ่งระบุว่าการรักษาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้นโดยรวม ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่มีอายุต่ำกว่า ๔๕ ปี พร้อมเสริมว่าผู้ใหญ่ในช่วงวัย ๑๘-๔๔ ปี มีแนวโน้มน้อยที่สุดที่จะเข้ารับการรักษาสุขภาพจิตในปี ๒๐๑๙ แต่กลับมีแนวโน้มสูงสุดในปี๒๐๒๑ ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ ๕ เท่าในช่วงเวลาดังกล่าว

ในด้านอาชญากรรมด้วยปืนยังแพร่หลายหนักในเมืองใหญ่ กรณีตำรวจในเมมฟิส รัฐเทนเนสซีของสหรัฐฯ ได้จับกุมผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมงขับรถไปรอบเมือง เพื่อยิงใส่ผู้คนขณะถ่ายทอดสดการกระทำที่ร้ายแรงของเขาไปด้วย

เซียลีน เดวิส(Cerelyn CJ Davis) หัวหน้าตำรวจเมมฟิสรายงานว่า “การยิงปืนและการโจรกรรมเริ่มขึ้นหลังเที่ยงคืนของวันพุธที่ผ่านมาและสิ้นสุดลงเมื่อผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ หลังจากการไล่ล่าอย่างหนัก ผู้ต้องสงสัยชายผิวดำชื่อเป็นเอเสเคียล เคลลี วัย ๑๙ ปี ในระหว่างวัน เขาถูกกล่าวหาว่าสังหารคนไป ๔ คนและบาดเจ็บอีก ๓ คน ซึ่งหนึ่งในนั้นอยู่ในขั้นวิกฤต และขโมยรถหลายคัน

มือปืนรายนี้ถ่ายทอดสดการอาละวาดของตนบน Facebook และ Instagram  เจ้าหน้าที่ได้ออกคำเตือนในสถานที่หลบภัยหลังจากเหตุการณ์ AutoZone ซึ่งเป็นการยิงครั้งรอบที่ ๔ มีรายงานว่าเคลลี่ชนรถคันสุดท้ายที่เขาขโมยไปหลังจากถูกเจ้าหน้าที่ไล่ล่าประมาณครึ่งชั่วโมง

สถานการณ์บ้าคลั่งเช่นนี้เกิดขึ้นไม่จำกัดเฉพาะเวลากลางคืน เดี๋ยวนี้คลั่งกันกลางวันแสกๆ ไม่เลือกสถานที่

มาดูด้านเศรษฐกิจ ที่สื่อตะวันตกอวยไส้แตกว่า เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งไม่มีวันเจอรีเซสชั่น ถึงเจอก็จัดการได้ แต่การประมาณการครั้งล่าสุดจากคณะนักวิจัย ซึ่งรวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ ๒ คนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า อัตราว่างงานสหรัฐอาจต้องแตะ ๗.๕% ซึ่งสูงกว่าระดับปัจจุบันอีกเท่าตัว จึงสามารถยุติปัญหาเงินเฟ้อสูงของประเทศได้ แม้จะทำให้ประชาชนต้องตกงาน 6 ล้านคน ฝ่ายบริหารสหรัฐน่าจะยอมแลก

เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์เมื่อเดือนมิ.ย.ว่า อัตราว่างงานต้องเพิ่มสูงขึ้นแตะ ๔.๑% ภายในสิ้นปี ๒๕๖๗ เท่านั้นจึงสามารถฉุดเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมาย ๒% ของเฟดได้ ขณะที่อัตราว่างงานในเดือนส.ค.อยู่ที่๓.๗%

ลอเรนซ์ บอล ศาสตราจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ กล่าวในการสรุปงานวิจัยฉบับล่าสุดว่า “หากตลาดแรงงานหรือการคาดการณ์เงินเฟ้อไม่เป็นไปตามความคาดหมาย การเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยของอัตราว่างงานตามที่เฟดประมาณการเอาไว้นั้นจะไม่เพียงพอ อเมริกาจะต้องเลือกระหว่างปล่อยให้เงินเฟ้อสูงขึ้นต่อไป หรือปล่อยให้อัตราว่างงานสูงขึ้นจนนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว” 

ณ เดือนมิถุนายน เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ว่าอัตราการว่างงานจะต้องเพิ่มขึ้นเพียง ๔.๑% ภายในสิ้นปี ๒๕๖๗ ที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อจะลอยกลับไปสู่เป้าหมายของธนาคารกลาง ๒%  

การคาดการณ์ของเฟดฉบับใหม่จะออกในสองสัปดาห์มีแนวโน้มที่จะแสดงแนวโน้มที่ไม่ค่อยดีนัก โดยนักวิเคราะห์คาดว่าการคาดการณ์จากผู้กำหนดนโยบายของเฟดทั้ง ๑๙ คนจะสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ยาวนานและรุนแรงขึ้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และการว่างงานจะสูงขึ้นกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้อย่างแน่นอน