เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน นับตั้งแต่การระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ และอุปสงค์ภายนอกที่อ่อนแอ ซึ่งเห็นได้จากการส่งออกที่ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในเดือนสิงหาคม ซึ่งจุดประกายให้เกิดการละเลงภาพแง่ร้ายของสื่อตะวันตกอีกรอบ ต่อแนวโน้มการพัฒนาของจีนจากผู้ทำนายต่างประเทศว่าจีนอาการหนักร่อแร่ ข้อเท็จจริงคือปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของจีนยังคงแข็งแกร่ง ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ที่เลวร้ายในสหภาพยุโรป และหลายประเทศที่เชื่อมโยงตะกร้าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่สำคัญจีนมีมาตรการเชิงนโยบายที่เพียงพอที่จะช่วยรับประกันการเติบโตที่มั่นคงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ล่าสุดพาณิชย์จีนเปิดเผยถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ยังคงแน่นเหนียวแค่ที่นครเซินเจิ้นแห่งเดียว ต่างชาติ ๑๖๐ ประเทศ ยังปักหมุดลงทุนนับ ๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และได้ออกกฎใหม่เปิดเสรีเต็มที่กระตุ้นต่างชาติลงทุนต่อเนื่อง นอกจากนี้ทางการยังอัดฉีดงบรอบใหม่กว่า ๕ แสนล้านหยวนหนุนธุรกิจอสังหาฯและ เอสเอ็มอีเต็มพิกัดโชว์กันชัดๆว่าจีนรวยจริงไม่โม้
วันที่ ๑๑ ก.ย.๒๕๖๕ สำนักข่าวซินหัวและโกลบัลไทมส์รายงานว่า มหานครเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน ประกาศมาตรการจัดการลงทุนใหม่ เตรียมบังคับใช้ ๑ พ.ย. ๒๕๖๕ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากภายนอก
ข้อบังคับข้างต้นกำหนดว่า นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถึงอุตสาหกรรม นอกรายการห้ามต่างชาติลงทุน ซึ่งเรียกว่า เนวิเกทีฟลิสต์ของจีน (negative list) โดยเทศบาลนครเซินเจิ้น จะพิจารณาคำขอเข้าถึงอุตสาหกรรมเหล่านั้น จากนักลงทุนต่างชาติ ตามกฎหมายและข้อบังคับใหม่
ขณะเดียวกัน เทศบาลนครเซินเจิ้นยังคงส่งเสริมนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนในภาคธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็น การผลิตขั้นสูง อุตสาหกรรมเกิดใหม่ อุตสาหกรรมการอนุรักษ์พลังงาน และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
บรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ข้อบังคับใหม่นี้กำหนดการเข้าถึงของทุนต่างชาติเป็นพิเศษ ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกทางการลงทุนของธุรกิจที่ใช้เงินทุนต่างชาติ และปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันถูกต้องตามกฎหมายของนักลงทุนต่างชาติตามเงื่อนไขท้องถิ่น
ด้านสำนักพาณิชย์แห่งเทศบาลนครเซินเจิ้นให้ข้อมูลว่า มูลค่าการใช้เงินทุนต่างชาติที่แท้จริงของเทศบาลนครเซินเจิ้นพุ่งสูงเกิน ๒,๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ราว กว่า ๗๖,๔๑๙ ล้านบาท ในไตรมาสแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๒เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี
ปัจจุบัน เทศบาลนครเซินเจิ้นเป็นที่ตั้งของบริษัทจากกว่า ๑๖๐ ประเทศจากภูมิภาคต่างๆทั่วโลก และอนุมัติโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมากกว่า ๑ แสนโครงการแล้ว เมื่อนับถึงสิ้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา
หู เจียงกู(Huo Jianguo) รองประธานสถาบัน China Institute for World Trade Organisation Studies กล่าวว่า การเติบโตทางการค้าที่ลดลงอาจเป็นผลมาจากคำสั่งซื้อที่ลดลงซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจภายนอกที่ลดลงในวงกว้าง
หู กล่าวว่า การลดค่าเงินของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศอื่นๆ ท่ามกลางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าไม่หยุด ก็เป็นแรงกดดันต่อการส่งออกของจีนที่ทำให้ลดลงเช่นกัน หยวนจีนอ่อนค่าลงมากกว่า 9% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ แต่ก็ยังแข็งค่ากว่าเงินเยนของญี่ปุ่นและเงินวอนของเกาหลีใต้อยู่มาก เขากล่าวต่อ เสริมว่าการระบาดของเชื้อ Omicron ในประเทศเป็นระยะๆ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและความสามารถด้านลอจิสติกส์ด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการส่งออกของประเทศในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังขยายตัว ๗.๑% ในเดือนสิงหาคม ขณะที่เพิ่มขึ้น ๐.๓% ในเดือนสิงหาคมเมื่อเทียบปีต่อปี ข้อมูลศุลกากรเปิดเผยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับการเติบโตของการส่งออกโดยรวมที่เพิ่มขึ้น ๑๘.๐% และการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ๒.๓% ในเดือนกรกฎาคม
ในความพยายามครั้งใหม่ที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ การประชุมผู้บริหารของสภาแห่งรัฐซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงเป็นประธานในวันพุธที่ผ่านมา ให้คำมั่นที่จะออกพันธบัตรพิเศษมูลค่า ๕ แสนล้านหยวน ราว ๗๑.๙๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากโควตาที่ไม่ได้ใช้ก่อนหน้านี้ของรัฐบาลท้องถิ่น ตั้งแต่ปี ๒๐๑๙ ภายในสิ้นเดือนตุลาคม
การออกพันธบัตรจะจัดลำดับความสำคัญของเงินทุนสำหรับโครงการที่ถูกสร้างขึ้นสนับสนุนนโยบายสำหรับการจ้างงานและการเป็นผู้ประกอบการที่ก้าวหน้าขึ้น เพื่อรักษาโมเมนตัมการเติบโตใหม่
ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีนรับรองโดยประธาน World Economic Forum (WEF) บอร์เก เบรนเด ที่ว่า “มาตรการของทางการจีนจะนำไปสู่การฟื้นตัวและการเติบโตของเศรษฐกิจและของโลก” เบรนเดพูดถึงการพัฒนาเศรษฐกิจระยะกลางและระยะยาวของจีนว่า “บทบาทของจีนในการรักษาการเติบโตทั่วโลกนั้นช่างเหลือเชื่อ … สิ่งที่เกิดขึ้นในทางเศรษฐกิจของจีนส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อส่วนอื่นๆ ของโลกอย่างไม่อาจปฏิเสธได้”
ใครที่วิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจจีนจะล่มจมในเร็ววันนี้ ก็น่าจะคิดใหม่ได้แล้วว่าใครกันแน่ที่จะล่มสลายก่อนกันระหว่างตะวันตกกับจีน???