เมื่อกองกำลังสหรัฐฯและเกาหลีใต้จัดการซ้อมรบแบบสดๆโดยใช้กระสุนจริง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในท้องน้ำใกล้ดินแดนของเกาหลีเหนือ อ้างเตรียมรับมือการคุกคาม เป็นการซ้อมรบจำลองการโจมตีเกาหลีเหนืออย่างโจ่งแจ้ง ล่าสุดเกาหลีเหนือได้ประกาศกฎหมายฉบับใหม่ ให้เป็นรัฐนิวเคลียร์อย่างเปิดเผย มอบอำนาจเบ็ดเสร็จแก่ผู้นำใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้เมื่อเห็นว่าจำเป็น เป็นการตอกย้ำว่าเกาหลีเหนือจะไม่ยอมสยบต่ออำนาจของสหรัฐและตะวันตก ทั้งจะไม่ยอมให้ปลดอาวุธนิวเคลียร์อีกต่อไป
วันที่ ๙ ก.ย.๒๕๖๕ สำนักข่าวสปุ๊ตนิกและรอยเตอร์รายงานว่า รัฐสภาฯเกาหลีเหนือ (DPRK)หรือซูปรีม พีเพิลแอสเซมบลี (Supreme People’s Assembly)ได้ผ่านกฎหมายใหม่เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ โดยประกาศอย่างเป็นทางการว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เป็นรัฐอาวุธนิวเคลียร์ สื่อเคซีเอ็นเอ(KCNA)ของทางการเกาหลีเหนือรายงานเมื่อเช้าของวันนี้
ผู้นำเกาหลีเหนือกล่าวว่าสถานะนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือในขณะนี้ ย้อน’กลับไม่ได้’ โดยกองทัพได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธปรมาณู ‘โดยอัตโนมัติ’ เมื่อจำเป็น
คิม จองอึน ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือกล่าวในการปราศรัยต่อที่ประชุมว่า “ความสำคัญสูงสุดของการออกกฎหมายนโยบายอาวุธนิวเคลียร์คือการขีดเส้นที่แก้ไขไม่ได้ เพื่อที่จะไม่มีการต่อรองเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของเรา” พร้อมเสริมว่าเขาจะไม่มีวันยอมมอบอาวุธให้ตะวันตกแม้ว่าประเทศจะเผชิญหน้ากับการลงโทษนับ ๑๐๐ ปี
รองโฆษกสภาฯกล่าวว่า “กฎหมายฉบับใหม่จะทำหน้าที่เป็นหลักประกันทางกฎหมายอันทรงพลังสำหรับจุดยืนของเกาหลีเหนือในฐานะรัฐอาวุธนิวเคลียร์ และสร้างความมั่นใจใน “ลักษณะที่โปร่งใส สม่ำเสมอและเป็นมาตรฐาน” ของนโยบายนิวเคลียร์ของเรา”
เกาหลีเหนือได้ทดสอบอุปกรณ์นิวเคลียร์เครื่องแรกของตนในปี ๒๕๔๙ และทดสอบหัวรบนิวเคลียร์แสนสาหัสในปี ๒๕๖๐ ก่อนที่จะประกาศพักการทดลองนิวเคลียร์เพียงฝ่ายเดียว โดยได้ยืนกรานมาโดยตลอดว่าอาวุธมีไว้เพื่อใช้ในการป้องกันเท่านั้นและจำเป็นต้องใช้เพราะเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเพื่อยุติสงครามเกาหลีที่เริ่มในปี ๒๔๙๓ การหยุดยิงยุติการสู้รบในปี ๒๔๙๔ แต่ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขตปลอดทหารที่แยกสองเกาหลีได้เกิดขึ้นพร้อมกับความขัดแย้งทางทหารที่เกิดขึ้นเป็นระยะ
คิมกล่าวว่าสหรัฐฯ มีจุดมุ่งหมายที่ซ่อนเร้นในความพยายามที่จะเจรจากับเกาหลีเหนือให้เลิกใช้อาวุธนิวเคลียร์ การเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์ในปี ๒๕๖๑ และ ๒๕๖๒ ในสมัยอดีตปธน.ทรัมป์ เกือบจะสำเร็จ แต่กลับล้มเหลวเมื่อฝ่ายบริหารของทรัมป์ปฏิเสธที่จะปลดล็อคคว่ำบาตรก่อนที่จะมีการปลดอาวุธนิวเคลียร์ที่ “ตรวจสอบได้” แม้ว่าเกาหลีเหนือจะรื้อสถานที่ทดสอบหลักของตนแล้วก็ตาม
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สหรัฐฯ รักษากองทหารรักษาการณ์ ๒๘,๐๐๐ นายในเกาหลีใต้ โดยมีสนธิสัญญาป้องกันประเทศ และเมื่อเดือนที่แล้ว กองกำลังสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ดำเนินการซ้อมรบด้วยกระสุนจริง ห่างจากดินแดนของเกาหลีเหนือเจต DMZ เพียง ๑๘ ไมล์ เพื่อจำลอง “การตอบโต้” กับเกาหลีเหนือ
เกาหลีเหนือ และรัฐอื่นๆ อีกหลายรัฐประณามวอชิงตันและโซลว่าเพิ่มความตึงเครียดโดยไม่จำเป็นด้วยการฝึกซ้อมที่ระบุเป้าหมายเพื่อนบ้านเป็นศัตรูดังกล่าว
มีรายงานว่า การฝึกอบรมใหม่ที่ออกให้แก่กองทัพเกาหลีใต้ตั้งแต่เมื่อต้นปีนี้ กำหนดให้เกาหลีเหนือเป็น “ศัตรู” อย่างโจ่งแจ้ง สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับวาทศิลป์จากเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นมาตรการป้องกันทั่วไปไม่ใช่การกระตุ้น “สงคราม” ซึ่งย้อนแย้งกับวาทะประณามอย่างก้าวร้าวต่อการทดสอบขีปนาวุธของเปียงยาง และการซ้อมรบที่ดุเดือดของสหรัฐและเกาหลีใต้หน้าบ้านเกาหลีเหนือ
ชาด โอแคร์รอลล์(Chad O’Carroll) ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ติดตามเกาหลีเหนือแห่งนอร์ทโคเรียนิวส์ (NK News) กล่าวบน Twitterว่า กฎหมายฉบับใหม่มีขอบเขตมากกว่าที่จะอนุญาตให้มีการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ไว้ก่อน หากมีการตรวจพบการโจมตีที่ใกล้จะเกิดขึ้นด้วยอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูงหรือต่อต้าน “เป้าหมายเชิงกลยุทธ์” ของประเทศ รวมทั้งผู้นำ
กฎหมายฉบับใหม่ให้คำมั่นที่จะไม่คุกคามรัฐที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เว้นแต่พวกเขาจะเข้าร่วมกับประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์เพื่อโจมตีต่อเกาหลีเหนือ
ก่อนหน้านี้ทางการเกาหลีใต้ได้ประกาศ กลยุทธ์คิลเชน (Kill Chain) ซึ่งเรียกร้องให้มีการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์และระบบบัญชาการของเกาหลีเหนืออย่างทันท่วงที หากสงสัยว่ามีการโจมตีที่ใกล้จะเกิดขึ้น
โดยภาพรวมก็คือ เกาหลีเหนือปากว่าต้องการสานต่อโครงการรวมชาติ แต่พฤติกรรมก้าวร้าวย้อนแย้งทั้งประกาศยุทธศาสตร์โจมตี ทั้งร่วมซ้อมรบกระสุนจริงกับสหรัฐ เข้าร่วมซ้อมรบทีฮาวายกับสหรัฐและญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้มุ่งเป้าชนเกาหลีเหนืออย่างชัดเจน จึงสอดคล้องกับคำประกาศของผู้นำเกาหลีเหนือที่ว่า “ตราบใดที่อาวุธนิวเคลียร์ยังคงอยู่บนโลก และลัทธิจักรวรรดินิยมยังคงอยู่ และการประลองยุทธ์ของสหรัฐอเมริกาาและบริวารที่ต่อต้านสาธารณรัฐของเราไม่ยุติ งานของเราในการเสริมความแข็งแกร่งให้กองกำลังนิวเคลียร์จะไม่ยุติเช่นกัน”